Skip to main content
sharethis

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันไทยพร้อมชี้แจงนักลงทุนทุกเรื่อง เพื่อชักชวนให้ไปลงทุนในไทยและกลุ่มอาเซียน


 


นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษสถานีวิทยุบีบีซี ภาคภาษาไทยว่า ตนพร้อมจะให้ความมั่นใจแก่นักลงทุน ที่สนใจเข้าไปลงทุนในเมืองไทยว่า เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะไม่กระทบกระเทือนต่อการลงทุนในภาคอื่นๆ


 


นายทนง กล่าวเช่นนี้ที่กรุงลอนดอน ก่อนที่จะนำรัฐมนตรีคลังของกลุ่มอาเซียนและคณะผู้แทนระดับสูงจากวงการเงินและบริษัทใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ จัดประชุมแสดงศักยภาพการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน ให้นักลงทุนสถาบันในกรุงลอนดอนได้รู้จัก ในวันที่ 21 กันยายน 2548


 


ก่อนหน้านี้ ได้มีการจัดงานอาเซียนโรดโชว์ในต่างประเทศมาแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อปี 2547 ที่นครนิวยอร์ค


 


นายทนงเชื่อว่า นักลงทุนจะเข้าใจถึงสถานการณ์ในภาคใต้ และคงวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงในการลงทุนได้เอง


 


"เราคงจะอธิบายให้เขาทราบว่า สถานการณ์ถูกจำกัดอยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้จริงๆ และไม่ได้ลามขึ้นมาข้างบน" นายทนงกล่าวกับบีบีซี


 


นายทนงกล่าวด้วยว่า ทางกระทรวงการคลังได้คำนวณตัวเลขทั้งหมด เพื่อรับภาระการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ หรือเมกะโปรเจค 7 สาขาไว้แล้ว คือ ภาระหนี้จะต้องไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ หรือจีดีพี ซึ่งตอนนี้ของไทยอยู่ที่ร้อยละ 43


 


ขณะเดียวกัน การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็ได้สร้างเกณฑ์ไว้ว่า ตลอด 5 ปีข้างหน้า ไม่ควรเกินร้อยละ 2.5 ของจีดีพี


 


ไม่แทรกแซง


 


ในส่วนของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์


 


ก่อนหน้านี้ มีข่าวการปรับเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทการบินไทยและความพยายามเข้าไปซื้อหุ้นในบริษัทสื่อมวลชนว่า  มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง


 


"ข้อกล่าวหา คือ ข้อกล่าวหานะครับ แต่ถ้าดูวิธีปฏิบัติที่ชัดเจนและข้อเท็จจริงแล้ว การเมืองไม่ได้เข้าไปแทรกแซงการบริหารของภาคเอกชนนะครับ" นายทนงกล่าว


 


ทำการบ้านหน่อย


 


ขณะเดียวกันที่เมืองไทย นักวิชาการบอกว่า รัฐบาลไทยต้องทำการบ้านมากขึ้น ถ้าจะเจาะตลาดจีน เพราะข้อตกลงการค้าเสรี หรือเอฟทีเอ ที่ไทยทำกับรัฐบาลกลางที่กรุงปักกิ่ง  มีปัญหาในระดับท้องถิ่นที่อ้างว่า  มีกฎระเบียบต่างหาก


 


คำแนะนำดังกล่าวมีขึ้นในจังหวะที่นางหวูยี่ หรืออู๋อี๋ รองนายกรัฐมนตรีจีน นำคณะนักธุรกิจจีนไปประชุมกับฝ่ายไทย ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อหารือในหัวข้อการเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับจีน ในวันที่ 21 กันยายน 2548 นี้เช่นกัน


 


หัวหน้าคณะของฝ่ายไทย คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่า


การกระทรวงพาณิชย์


 


รัฐบาลไทยทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีกับจีน ด้านผักผลไม้ระหว่างกัน ตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งนักสังเกตการณ์บอกว่า เป้าหมายดีเพราะตลาดจีนมีขนาดใหญ่ แต่ด้านรายละเอียดกลับแสดงให้เห็นถึงความไม่พร้อมของฝ่ายไทย


 


นายวรศักดิ์ มหัทโนบล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกบีบีซีว่า ไทยไม่เข้าใจว่าจีนมีกฎระเบียบหลายระดับ ดังนั้น เมื่อส่งสินค้าผ่านเข้าไปในระดับท้องถิ่นจึงเกิดปัญหา


 


"เวลาส่งสินค้าในจีนจากเหนือของไทย เราไม่สามารถอ้างอิงข้อตกลงเอฟทีเอจากปักกิ่ง เพราะรัฐมณฑลท้องถิ่นยูนนานไม่ยอม บอกว่าเขามีกฎระเบียบของเขา อันนี้เป็นปํญหาใหญ่" นายวรศักดิ์บอก


 


ด้านนายบัณฑูร เศรษฐศิโรจน์ จากกลุ่มเอฟทีเอวอทช์บอกว่า ข้อตกลงเอฟทีเอฉบับนี้ ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่เกษตรกรทั้งสองฝ่าย แต่คนที่ได้ประโยชน์ คือ ผู้ค้าขายกับผู้ส่งออก


 


ที่มา : http://www.bbc.co.uk/thai/news/story/2005/09/050920_2330g200905tx.shtml

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net