พรมแดนติดต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นระยะทางนับพันกิโลเมตร ในเขต 31 จังหวัด 170 อำเภอ/กิ่งอำเภอ มีทั้งลาว พม่า มาเลเซียและกัมพูชา ต่างอยู่บนเส้นที่ขีดคั่น หากแต่รอยต่อของประวัติศาสตร์ยังไม่ลบเลือนแม้จะผ่านมาหลายชั่วอายุคนแล้วก็ตามที สิ่งที่เลวร้ายกว่าสงครามครั้งอดีตคือเศษซากของทัศนคติในความเป็นศัตรูด้วยเส้นสมมตินี้ หรือการมองว่าพวกเราเป็น "คนอื่น"
1 ใน ล้าน สะท้อนเสียงคนไร้สัญชาติ
"แม่ไม่มีบัตร 30 บาทรักษาทุกโรค ตอนนี้ออกนอกพื้นที่ไม่ได้ ตำรวจจะจับเอา เพราะมี แต่บัตรสีฟ้าของพื้นที่ศูนย์อพยพเท่านั้น" นางมาลี แย้มพรหม ชาวบ้านต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เอ่ยปาก
นั่นอาจเป็นเพียงเสียงสะท้อนเบาๆ ของผู้หญิงตัวเล็กๆ วัย 32 ปี ที่สืบเชื้อสาย มาจาก กะเหรี่ยงชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาบริเวณเขตอ.สวนผึ้ง ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะได้รับสัญชาติไทยและมีครอบครัวแล้วก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ทางเครือญาติยังมิอาจตัดขาดเช่นพรมแดนที่ขีดคั่นไว้
เธอยังสะท้อนให้ฟังอีกว่า "ถ้าจะออกนอกอ.สวนผึ้ง ก็จะต้องทำใบขออนุญาตออกนอกพื้นที่อีก ซึ่งตอนนี้ย่าก็มีอายุ 70 กว่าปีแล้ว ส่วนแม่มีอายุ 50 ปี การเดินทางก็ลำบาก ซึ่งพวกเขาก็ตกสำรวจมาโดยตลอด เพราะข้าราชาการไม่เข้ามาดูแลในพื้นที่ และชาวบ้านเอง ตอนนั้นก็ยัง
ไม่รู้ว่าบัตรสำคัญยังไง พอตอนนี้ไม่มีก็เลยลำบาก"
สำหรับแม่และย่าวัยชราของเธอที่มีเพียงบัตรสีฟ้าที่สามารถใช้ได้ตลอดชีวิตนั้น เป็นเพียงสิ่งแรกที่ทำให้รู้ว่า สิ่งที่พวกเขาไม่ได้รับนั้นทำให้มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก พวกเขาไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ยามที่หน่วยงานต่างๆ ไปแจกสิ่งของก็ให้เฉพาะแต่คนที่มีบัตรประชาชนเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังมีคนไร้รัฐหรือคนต่างด้าวอีกเป็นจำนวนมากที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย ซึ่งหากเขาได้จดทะเบียนและมีบัตรประจำตัวประชาชน สิ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับก็น่าจะช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้ แม้ไม่เท่าเทียมกับคนไทยทั่วๆ ไปก็ตาม เช่น การรักษาพยาบาล สิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ
เด็กๆ ไร้สัญชาติที่ ร.ร.ท่ามะขาม อ.สวนผึ้ง
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่สถาบันการศึกษาหลายแห่งมิได้กีดกันเด็กๆ ไร้สัญชาติเหล่านี้ด้วย อย่างเช่นที่โรงเรียนท่ามะขาม หมู่ 5 ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง ที่บริการด้านการศึกษาและปัจจัยอื่นๆ แก่พวกเขาอย่างเท่าเทียม และยินดีที่จะดูแลเด็กๆ ที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างพรมแดนไทย-พม่า จนมีเวลาเรียนน้อยเต็มที่
นางพจนพร จิตเจริญทวีโชค ผู้อำนายการโรงเรียนท่ามะขาม บอกว่า "โรงเรียนท่ามะขามมีเด็กที่มีทะเบียนบ้านเพียง 30% แต่ก็มีสิทธิเสมอภาคเท่ากันหมด ทั้งกินข้าว ของแจก แต่ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้จะหายไป 1 ปี แล้วก็จะกลับมาเรียนซ้ำชั้นใหม่ เพราะมักเข้าๆ ออกๆ อยู่ที่ศูนย์อพยพกับพ่อแม่"
ผอ.ร.ร. ท่ามะขาม ยังกล่าวอีกว่า ปัญหาที่เด็กๆ เหล่านี้เจอคือเรื่องค่าหนังสือและสุขภาพ และเด็กๆ ก็ไม่มีเงินเรียนต่อระดับมัธยมศึกษา เพราะต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายอื่นๆ แม้รัฐบาลจะบอกว่าเรียนฟรีก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เด็กๆ ที่ค่อนข้างหัวดีส่วนใหญ่ก็เรียนไม่ค่อยจบ
"เด็กช่วยตนเองไม่ได้เราก็ต้องช่วย แบบประเภทขอให้มีกินก็พอ ตอนนี้เด็กนักเรียนมีทั้งหมด 303 คน แต่มาเรียนเพียง 80% และมีเด็กไร้สัญชาติถึง 97 คน สำหรับการให้ความร่วมมือกับโรงเรียน ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือดี เขาก็ให้เป็นแรงมาเพราะเงินเขาไม่มี" ผอ.พจนพร บอกเล่าเกี่ยวกับนักเรียนตัวเล็กๆ และผู้ปกครองของพวกเขา
จากตำบลหนึ่งในเขตอ.สวนผึ้ง ได้ฉายภาพการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและการพึ่งพาแบบเครือญาติ เมื่อทุกชาติพันธุ์ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ความสงบสุขจึงเกิดขึ้นเพียงในหมู่ชนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น ขณะที่การจัดระเบียบของส่วนกลางและทัศนคติของคนต่างพื้นที่ยังห่างเหินต่อสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขา หรือกล่าวได้ว่าห่างไกลจากความจริงนั่นเอง
หากแต่ยังมีหน่วยงานอีกไม่กี่แห่งที่เห็นความสำคัญและต้องการทำสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องปรากฏในสังคมไทย สำหรับผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในรัฐใดๆ แต่ตัวตนของพวกเขาได้อยู่ในดินแดนไทยแล้วนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องมีการสำรวจและจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้พวกเขามีตัวตนในทางกฎหมายด้วย
สภาทนายความเข้าถึงคนไร้สถานะทางทะเบียน
นายสุรพงษ์ กองจันทึก รองประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวถึงกลุ่มคนไร้รัฐที่ตกสำรวจว่า "พวกเขาไม่มีชื่ออยู่ในข้อมูลของรัฐเลย สภาทนายความจึงต้องการช่วยเหลือชาวบ้านในทุกๆ เรื่อง ซึ่งตอนนี้ที่สภาทนายความเป็นห่วงก็คือ บุคคลที่ไม่มีอะไรเลย บัตรก็ไม่มี สัญชาติก็ไม่มี จะต้องให้ความช่วยเหลือเป็นกลุ่มแรก เราเริ่มต้นโดยทำแบบสอบถาม เก็บข้อมูลคนตกหล่นเหล่านี้ ก็ให้ชาวบ้านเก็บข้อมูลกันเองเพราะเราก็ไม่มีกำลังคนลงไปช่วย"
การช่วยเหลือด้านการเก็บข้อมูลสำรวจประชากรดังกล่าว ก็เพื่อที่จะทำเป็นฐานข้อมูลสำหรับ ยุทธศาสตร์และแนวปฏิบัติในการสำรวจบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งทำให้ชาวบ้านตื่นตัวเอาข้อมูลมาตรวจสอบกันมากขึ้น เพื่อให้ได้รับ สิทธิการศึกษา การรักษาพยาบาล การย้ายที่อยู่ แจ้งเกิดแจ้งตายให้ได้คุ้มครองตามกฎหมาย
นายสุรพงษ์ เห็นว่า นโยบายที่ผ่านมาผ่อนปรนโดยให้ชาวต่างด้าวอยู่ชั่วคราวต่อไปเรื่อยๆ เพราะทำอะไรไม่ได้ แต่สำหรับการสำรวจคราวนี้ ต้องมีการพิสูจน์หากมีคนเพิ่มเข้ามาในภายหลังก็อาจจะดันออกไป
"มีหลายฝ่าย บางฝ่ายก็มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคนต่างด้าว ไม่อยากอยู่กับคนอื่น ไม่ควรให้ฐานะกับบุคคลอื่น ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญด้านความมั่นคงมาตลอด แต่ผู้ได้รับผลกระทบก็คือบรรดาชาวบ้าน แม้แต่ทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐก็หวาดระแวงมาตลอด ประเทศมีแนวคิดเรื่องกลัวไว้ก่อนทำให้ไม่อยากรับรองสิทธิคนต่างด้าว แค่ฟังชื่อเรียกก็แสดงถึงทัศนะคติที่ไม่ดีแล้ว" นายสุรพงษ์ หรือพี่หนอนแห่งสภาทนายความ เล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม พี่หนอน บอกอีกว่า เราต้องมองตามความเป็นจริงว่าสิทธิในการมีสถานะบุคคลเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานนี้เพราะ แต่ประเทศไทยมีกระบวนการทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มไม่ได้รับตามความเป็นจริง
"การที่เขาไม่มีชื่อในทะเบียนรัฐ หรือไม่ได้รับสิทธิการดูแลของรัฐ เป็นความบกพร่องที่สำคัญของประเทศไทย เพราะว่าเราต้องดูแลและยอมรับทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย" พี่หนอน เน้นย้ำอีกรอบ
นอกจากนี้ ยังมีองค์กรที่ทำหน้าดูแลกลุ่มบุคคลไร้สัญชาติ ที่ทำงานเป็นเครือข่ายประสานกันทั่วประเทศ นั่นคือคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชนในประเด็นบุคคลไร้สัญชาติ บุคคลที่ยังไม่มีฐานะทางทะเบียน โดยทำงานในพื้นที่และอบรมให้ความรู้ชาวบ้านด้วย
องค์กรคริสต์ ไม่ทิ้งคนตกขอบ
นายธนาสิทธิ์ สุวรรณประทีป คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ กล่าวว่า ชาวบ้านเหล่านี้มีปัญหาคล้ายกันหมดทั้งด้านที่ดินทำกิน การเรียน สุขภาพ บัตรประชาชน องค์กรจึงนำความรู้ที่มีไปดูแลส่วนที่รัฐยังบกพร่องในการดูแลผู้คนในพื้นที่ และโบสถ์ก็ถือเป็นศูนย์รวมชาวบ้านโดยทุกอาทิตย์จะมีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในหมู่ชาวบ้านด้วยกันเอง
นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับชาวบ้านกลุ่มคนไร้รัฐเหล่านี้ เช่น กะเหรี่ยง ที่นับถือศาสนาคริสต์ และได้รับการดูแลเอาใจใส่จากองค์กรด้านศาสนาที่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างจริงจังและติดต่อมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว
ทั้งนี้ นายธนาสิทธิ์หรือพี่เอ้ บอกว่า ทุกวันนี้ ชาวบ้านได้ทิ้งวัฒนธรรมเก่าแก่ออกไปเยอะแล้ว และรับเอาวัฒนธรรมภายนอกเข้ามา แต่พวกเขาก็อยู่ร่วมกันได้ในหมู่บ้านที่ติดต่อใกล้ชิดกัน เนื่องจากไม่มีทัศนะคติที่ไม่ดีต่อกัน แต่สำหรับบรรดาราชการนั้นแทบไม่มองผู้คนเหล่านี้เลย
"ส่วนใหญ่ตำรวจจะมาเรียกเงินบ้างตั้งแต่ 500บาทขึ้นไป ถ้าใครถูกจับแล้วไม่มีใบขับขี่ก็จะโดนปรับอีก1,000-1,500 บาท ความเป็นอยู่ที่แย่อยู่แล้วก็แย่ลงไปอีก พวกเขาออกนอกพื้นที่ก็ไม่ได้ และส่วนที่ถูกทางการไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นก็มักต้องไปอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่หินทำมาหากินอะไรไม่ได้" พี่เอ้ เล่าถึงชะตากรรมที่กลุ่มคนไร้รัฐได้รับ
ขณะเดียวกัน พี่เอ้ ยังกล่าวอีกว่า "ตำรวจชอบคนไร้รัฐหรือคนต่างด้าวพวกนี้ เพราะจะเข้าไปเอาทุกอย่างที่เอาได้จากชาวบ้าน"
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงแผนยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล ที่กำลังเริ่มนำมาเก็บสำรวจข้อมูลประชากรในขณะนี้นั้น พี่เอ้ มองว่าชาวบ้านเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รับรู้ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องอธิบายให้ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึง ซึ่งทางคณะกรรมการคาทอลิกฯ ก็ได้ร่วมกับภาครัฐให้ความรู้แก่ชาวบ้านแล้ว
พี่เอ้ กล่าวในตอนท้ายว่า "ผมออกนอกพื้นที่เพื่อให้เข้าใจสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นและอธิบายทำความเข้าใจกับชนกลุ่มไร้รัฐเหล่านี้ ซึ่งถ้าเราจะทำอะไรแล้วเราก็ต้องติดตามดูผลและปัญหาที่เกิดตามมาหรือยังตกค้างอยู่ ไม่ใช่มองว่าเรื่องของชาวบ้านอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้เรากล้าที่จะเปิดกว้างให้ทุกคนโดยไม่จำกัดศาสนาในทุกพื้นที่"
ภารกิจของรัฐต่อคนไร้สัญชาตินับล้านคนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ถือเป็นภารกิจท้าทายระหว่างความมั่นคงและมนุษยธรรม ที่จะต้องไม่ล่วงล้ำกัน หากแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเส้นแบ่งที่ว่านี้มีอยู่จริงหรือไม่ และถ้าหากว่าความมั่นคงและมนุษยธรรมคือเรื่องเดียวกันแล้ว จะทำให้มุมมองต่อคนไร้สัญชาติเหล่านี้เปลี่ยนไปอีกมิติหนึ่งได้หรือไม่
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)