มหาวิทยาลัยของรัฐกำลังแปรสภาพเป็น McUniversity โดยที่กระบวน การแม็กโดนัลดานุวัตร กำลังแผ่อิทธิพลครอบงำภาคอุดมศึกษา (McDonaldization of Higher Education) ทั้งนี้เป็นที่คาดว่าภายในทศวรรษนี้ สั งคมไทยจะได้เห็น McUniversity ชนิดเต็มรูป
เส้นทางของมหาวิทยาลัยไปสู่ McUniversity เป็นเส้นทางเดียวกับร้าน อาหารประเภท "แดกด่วน ยัดเร็ว" (Fast Food) ซึ่งนำโดย McDonald
McDonald ธำรงชีพและขยายกิจการสืบต่อมาได้ ด้วยการปรับตัวสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคในระบบทุนนิยม ผู้บริโภคย่อมเป็นราชา ความเป็นราชาของผู้บริโภค (Consumer Sovereignty) ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจมิอาจทำแชเชือนไม่รับรู้ความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคมิอาจมีชีวิตยืนยาว
มหาวิทยาลัยกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของการประกอบธุรกิจดุจเดียวกับ McDonald กระบวนการแปรสถาบันอุดมศึกษาเป็นธุรกิจเกิดจากเหตุปัจจัยอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านหนึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐ อีกด้านหนึ่งเป็นความต้องการของผู้คนในมหาวิทยาลัยนั้นเอง
รัฐบาลต้องการให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการ ทั้งนี้ด้วยความเชื่อ ซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ว่า การออกนอกระบบราชการจะช่วยเสริมส่งประสิทธิภาพการผลิตของมหาวิทยาลัย และเป็นผลดีต่อการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) เมื่อการผลักดันให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการเป็นไปอย่างเชื่องช้า "ผู้หวังดี" ซึ่งอาจ "ประสงค์ร้าย" แนะนำให้ธนาคารเพื่อการพัฒนาอาเซีย (Asian Development Bank) นำประเด็นการออกนอกระบบราชการของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเป็นเงื่อนไข
การดำเนินนโยบาย (Policy Conditionalities) ผูกติดกับเงินให้กู้ที่จัดสรรให้รัฐบาลไทย การยืมมือองค์กร "โลกบาล" ระดับภูมิภาค มาเร่งรัดมหาวิทยาลัยของรัฐ แม้จะประสบความสำเร็จ แต่วิสัยทัศน์ของผู้นำรัฐบาลชุดต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้แตกต่างกันอย่างมาก ผู้นำรัฐบาลและพรรคการเมืองต่างๆ มิได้มีคำตอบที่ชัดเจนว่า จะให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐออกนอกระบบราชการไป ทำไมกัน ข้อที่อาจเห็นร่วมกันก็คือ การลดการพึ่งพิงรัฐบาลในด้านการงบประมาณพ้นไปจากนั้น หาได้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ไม่ จะผลักดันให้มหาวิทยาลัยเข้าสู่วิถีแห่งตลาด (Marketisation) เพื่อแข่งขันกับมหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยนานาชาติ หรือว่าจะถ่ายโอนมหาวิทยาลัยของรัฐไปเป็นของเอกชน (Privatization)
ในขณะที่รัฐบาลต้องการผลักไสให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐหาได้มีฉันทมติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่สิ่งที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยต้องการก็คือ ความเป็นอิสระในด้านการบริหารงบประมาณ (Budget Autonomy) หาได้ต้องการลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดินไม่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐร่ำร้องให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้แก่มหาวิทยาลัยในลักษณะงบเงินอุดหนุนทั่วไป โดยที่มหาวิทยาลัยมีความเป็นอิสระในการจัดสรรการใช้จ่าย ประดุจว่า งบเงินอุดหนุนทั่วไปเป็น "พระศรีอาริย์" ผู้นำพามหาวิทยาลัยสู่สรวงสวรรค์ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมิได้สนใจเรื่องการออกนอกระบบราชการ หรือการลดการพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน มากเท่าการได้รับจัดสรรงบเงินอุดหนุนทั่วไป
เมื่อระบบเศรษฐกิจไทยเผชิญวิกฤติการณ์การคลังระหว่างปี 2523- 2525 และเผชิญภาวะถดถอยทาง
เศรษฐกิจในช่วงเวลาอันยาวนานระหว่างปี 2523-2529 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ดำเนินนโยบายงบประมาณแบบกระยาจก ด้วยการรัดเข็มขัดทางการคลังระหว่างปีงบประมาณ 2525-2531 มหาวิทยาลัยของรัฐต้องเผชิญกับการรัดเข็มขัดทางการคลังของรัฐบาล ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานดังกล่าวนี้ มหาวิทยาลัยต้องลดการพึ่งพิงงบประมาณแผ่นดินและดิ้นรนแสวงหารายได้ของตนเอง การนำ มหาวิทยาลัยเข้าสู่วิถีแห่งตลาดเป็นหนทางที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยหลายต่อหลายแห่งเลือก ครั้นเมื่อระบบเศรษฐกิจไทยก้าวเข้าสู่ยุคทองของการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจในทศวรรษ 2530 โดย
เฉพาะอย่างยิ่งระหว่างปี 2530- 2534 วิถีแห่งตลาดสร้างรายได้แก่มหาวิทยาลัยและสมาชิกชนิดเป็นกอบเป็นกำ
มหาวิทยาลัยของรัฐเรียนรู้ที่จะ "เอาใจ" ตลาดมากขึ้น โครงการฝึกอบรมผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด รวมทั้งโครงการ Mini MBAs ซึ่งเฟื่องฟูในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เบ่งบาน ด้วยเหตุที่มหาวิทยาลัยของรัฐ มีอำนาจในการประสาทปริญญาบัตรและวุฒิบัตรตามกฎหมาย มหาวิทยาลัยเรียนรู้การหารายได้จากการใช้อำนาจนี้ กระบวนการแปรปริญญาบัตรและวุฒิบัตรให้เป็นสินค้า (Commoditization) เกิดขึ้นควบคู่กับกระบวนการแปรบริการการศึกษาให้เป็นสินค้า หากความต้องการแสวงหารายได้ยิ่งมีมากเพียงใด กระบวนการแปรปริญญาบัตรและวุฒิบัตร รวมทั้งการแปรบริการการศึกษาให้เป็นสินค้าย่อม เชี่ยวกรากมากเพียงนั้น การเดินสู่วิถีแห่งตลาดไม่เพียงแต่ทำให้มาตรฐานการศึกษาหย่อนยานเท่านั้น หากยังทำลายมหาวิทยาลัยในฐานะสถาบันผลิตองค์ความรู้อีกด้วย
ในเมื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยพากัน "เดินสาย" ฝึกอบรมและแปรสภาพเป็น "เซลส์แมน" ขายวุฒิบัตรและปริญญาบัตร มิไยต้องกล่าวว่า มหาวิทยาลัยในเมืองไทยโดยรากเหง้าทางประวัติศาสตร์มิได้มี การออกแบบเชิงสถาบัน (Institutional Design) เพื่อให้เป็นสถาบันผลิตองค์ความรู้ตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุดังนี้ใครก็ตามที่ผลักดันให้มหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการและเข้าสู่วิถีแห่งตลาด โดยหวังว่าจะก่อให้เกิดความ ก้าวหน้าขององค์ความรู้และวิทยาการ คงจะมีความไร้เดียงสาอย่างถึงที่สุด
มหาวิทยาลัยของรัฐไทยไม่เพียงแต่เดินสู่วิถีแห่งตลาด ดุจเดียวกับ McDonald เท่านั้น หากยังผลิต "สินค้า" ในลักษณะ Mass Production ดุจเดียว กับ McDonald อีกด้วย
การขยายขนาดของการประกอบการเพื่อให้มีการผลิตในลักษณะ Mass Production เกิดขึ้นหลายระลอก ระลอกแรก ได้แก่ การจัดตั้ง "ตลาดวิชา" ดังเช่นมหาวิทยาลัยรามคำแหงในปี 2514 และการจัดตั้ง "มหาวิทยาลัยมวลชน" (Mass University) ดังเช่นมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชในเวลาต่อมา ระลอกที่สอง ได้แก่ การยกฐานะวิทยาลัยครูเป็นมหาวิทยาลัย โดยควบรวมกับวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรจนกลายเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และการยกฐานะโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นสถาบันราชภัฏ รวมตลอดจนการจัดตั้งสถาบันราชมงคล ซึ่งมีฐานะเป็นสถาบันอุดมศึกษาการผลิต "บริการอุดมศึกษา" ในลักษณะ Mass Production ก่อให้เกิด ผลกระทบอย่างน้อย 3 ประการ
ประการแรก ความหมายของ "อุดมศึกษา" ในสังคมไทยแปรเปลี่ยนไป อุดมศึกษาในความหมายดั้ง
เดิมตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Higher Education ซึ่งหมายความถึงการเรียนการสอนความรู้ขั้นสูง (Advanced Learning) แต่เมื่อสถาบันอุดมศึกษาทำการผลิตในลักษณะ Mass Production อุดม
ศึกษาจึงหมายเพียงตติยศึกษา (Tertiary Education) เท่านั้น
ในขณะที่ผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาทุกคนสามารถศึกษาต่อใน ระดับตติยศึกษาได้ แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะศึกษาระดับอุดมศึกษาได้ การขยายขนาดการประกอบการในภาคอุดมศึกษามีผลในการแปรเปลี่ยนสถาบันอุดมศึกษาให้เป็นเพียงสถาบันตติยศึกษา
ประการที่สอง การผลิตบริการอุดมศึกษาในลักษณะ Mass Production มีผลในการเหนี่ยวรั้งให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นสถาบันผลิตกำลัง คน โดยที่มิอาจทำหน้าที่ในฐานะสถาบันผลิตองค์ความรู้ได้
ประการที่สาม การเดินสู่วิถีแห่งตลาดและการขยายขนาดการประกอบการเพื่อให้มีการผลิตในลักษณะ Mass Production ทำให้บริการอุดมศึกษา มีลักษณะหลากหลาย (Product Differentiation) สาขาวิชาและหลักสูตรใหม่ผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยที่เป็นที่ถกเถียงกันได้ว่า สาขาวิชาและหลักสูตร ใหม่เหล่านั้น สมควรที่จะมีการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยหรือไม่
มหาวิทยาลัยของรัฐไทยไม่เพียงแต่เดินสู่วิถีแห่งตลาดและดำเนินการ ผลิตในลักษณะ Mass
Production ดุจเดียวกับ McDonald เท่านั้น หากยังมีการจัดตั้งเครือข่ายสาขา (Chain) ดุจเดียวกับ McDonald อีกด้วย
McDonald จำเป็นต้องจัดระบบเครือข่ายสาขา เพื่อรองรับการ ผลิต ในลักษณะ Mass Production และเพื่อการเติบโตของธุรกิจ การเติบโตเป็น หัวใจของยุทธศาสตร์การประกอบธุรกิจของบรรษัทยักษ์ใหญ่ดังเช่น McDonald
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐไทยให้ความสำคัญแก่การเติบโตในฐานะกลยุทธ์ในการขยายฐานผล
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเติบโตด้วยการจัดตั้งแผนกหรือสาขาวิชาใหม่ รวมตลอดจนการจัดตั้งคณะวิชาใหม่ เกื้อกูลการขออัตรากำลังคนใหม่และการของบประมาณแผ่นดิน ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่ม ตำแหน่งใหม่ ดังเช่น หัวหน้าสาขาและคณบดี ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นสัตว์เศรษฐกิจมีกิเลส มีตัณหาและมีราคะ คนเหล่านี้มิได้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐไปในทางที่ก่อให้เกิดสวัสดิการสูงสุดแก่สังคม (Social Welfare Maximization) หากแต่มุ่งแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุดของผู้บริหารเอง (Managerial Utility Maximization)
ทั้งนี้เนื่องจากมีการแบ่งแยกระหว่างความเป็นเจ้าของ (Ownership) กับการควบคุมจัดการ (Control) ในขณะที่ชนชาวไทยเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยของรัฐไทย แต่อำนาจการควบคุมจัดการตกอยู่กับกลุ่มบุคคลผู้ได้รับมอบหมายหน้าที่ โดยที่ไม่มีการสร้างกลไกการรับผิด (Accountability Mechanism) ต่อประชาชน
สภาพการณ์เช่นนี้ เปิดโอกาสให้ผู้บริหารมหาวิทยาลัยของรัฐแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุด ส่วนบุคคล และการขยายสาขาและคณะวิชาเป็นหนทางหนึ่งในการเพิ่มพูนอรรถประโยชน์ของผู้บริหาร ด้วยเหตุดังนี้ มหาวิทยาลัยของรัฐพากันจัดตั้งภาคและคณะวิชาใหม่ ทั้งนี้โดยอ้างอิงแนวความคิดว่าด้วยมหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบของ UNESCO โดยมิได้พิจารณาถึงความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน (Competitive Ad vantage) และความพร้อมของตนเอง ทั้งนี้เนื่องจากการขยายขนาดให้ ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (Size Maximization) ช่วยเพิ่มพูนอรรถประโยชน์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง
กระบวนการขยายอาณาจักรของมหาวิทยาลัยในชั้นแรกเป็นกระบวน การเติบโตจากภายใน (Internal Growth) ด้วยการจัดตั้งภาค/คณะวิชาขึ้น ใหม่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งก่อเกิดโดยมีหลายวิทยาเขตเป็นเพียงอุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ ในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มเลือกเส้นทางการเติบโตด้วยการจัดตั้งวิทยาเขตขึ้นใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเดิมมีข้อจำกัดทางกายภาพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกเส้นทางนี้ สถาบันราชภัฏบางแห่งเช่าโรงเรียนเอกชนหรือห้างสรรพสินค้าสอนนักศึกษาภาคพิเศษ พัฒนาการล่าสุด ได้แก่ การเติบโตจากภายนอก (External Growth) บริษัทธุรกิจเติบโตจากภา ยนอกด้วยการควบกิจการ (Merger) หรือครอบกิจการ (Acquisition) มหาวิทยาลัยเติบโตจากภายนอกด้วยวิธีการเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากการที่มหาวิทยาลัยจากส่วนกลางเข้าไป "ครอบ" สถาบันราชภัฏ ในส่วนภูมิภาค และยึดสถาบันราชภัฏในภูมิภาคต่างๆ เป็นฐานการผลิต
มหาวิทยาลัยกำลังแปรสภาพเป็น Chain Store ดุจเดียวกับ McDonald การจัดระบบเครือข่ายสาขากำลังเริ่มต้น รูปโฉมของสาขากำลังหารูป แบบที่ลงตัว การจัดตั้งวิทยาเขตใหม่ต้องอาศัยเงินลงทุนจำนวนมาก ซึ่งจะกระทำได้ก็แต่ภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอัน รุ่งเรือง การเช่าโรงเรียนเอกชนหรือห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมเป็น "โรงพิมพ์ปริญญาบัตร" หรือ "โรงพิมพ์วุฒิบัตร" เป็นรูปแบบที่ไม่สมภาคภูมิ โดยที่บางคนอาจเห็นว่า เป็นการกระทำที่เสื่อมศักดิ์ศรี
การ "ครอบ" สถาบันราชภัฏในส่วนภูมิภาค กำลังกลายเป็นรูปแบบที่ลงตัว การทำสัญญาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Alliance Agreement) ระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถาบันราชภัฏในส่วนภูมิภาค เกื้อประโยชน์แก่สถาบันราชภัฏในข้อที่มีความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัย และสามารถจัดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาอย่างเต็มภาคภูมิ
ส่วนมหาวิทยาลัยก็ได้ประโยชน์จากการใช้กำลังการผลิตส่วนเกิน (Excess Capacity) ให้เป็นประโยชน์ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งล้วนสนับสนุนสัญญาพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ เพราะช่วยให้จังหวัดที่ตนเป็นผู้แทนมี "มหาวิทยาลัย" แต่การทำสัญญาเช่นนี้โดยพื้นฐาน ย่อมเป็นสัญญาที่ไม่เสมอภาค ดุจเดียวกับสนธิสัญญาบาวริง โดยที่ มหาวิทยาลัยเป็น "เมืองแม่" และสถาบันราชภัฏเป็น "ดาวบริการ" ส่วนเกินทาง เศรษฐกิจจาก "ธุรกิจร่วมทุน" (Joint Venture) ลักษณะนี้ย่อมตกแก่มหาวิทยาลัย ในสัดส่วนสำคัญ
มหาวิทยาลัยเหมือนกับ McDonald ในข้อที่ต่างผลิตบริการที่มีลักษณะ "แดกด่วน ยัดเร็ว" ต่างกันแต่เพียงว่า ผลผลิตของมหาวิทยาลัยมีลักษณะหลากหลายมากกว่า ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ระบบการบริหารและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี McDonald และธุรกิจ Fast Food ทั้งปวง จำเป็นต้องจัดระบบการบริหารที่เป็นวิทยาศาสตร์ มีเป้าหมายในการลดต้นทุน ให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (Cost Minimization) ความสำนึกด้านต้นทุน (Cost Consciousness) เป็นเรื่องสำคัญในองค์กรธุรกิจสมัยใหม่
แต่มหาวิทยาลัยของรัฐไทยหาได้มีความสำนึกด้านนี้ไม่ ไม่มีการจัดระบบการบัญชีต้นทุน (Cost Accounting) และมีการใช้ทรัพยากรไปในทางสูญเปล่า ในเมื่องบประมาณสำหรับการใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งไม่ต้องการหาเอง McDonald และธุรกิจ Fast Food ทั้งปวง ต้องจัดระบบการควบคุมคุณภาพสินค้า (Quality Control)
ทั้งนี้เพื่อมิให้ผลผลิตทางสาขา ต่างๆ มีคุณภาพแตกต่างกันหรือแตกต่างกันไม่มาก มหาวิทยาลัยของรัฐไทยหาได้มีระบบเช่นนี้ไม่ โดยที่ระบบการประกันคุณภาพทางวิชาการ (Quality Assurance) ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะออกนอกระบบราชการหรือไม่ก็ตาม บัดนี้มหาวิทยาลัยของรัฐไทยกำลังแปรโฉมเป็น McUniversity
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์
06-07-2000
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)