กรุงเทพฯ-30 มี.ค. 48 วันนี้ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี,กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน(FTA Watch)และองค์กรพันธมิตร รณรงค์เรียกร้องให้สังคม ไทยจับตาการต่อรองระหว่างไทย-สหรัฐในการเจรจาเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) รอบที่ 3 ที่จะจัดขึ้นที่พัทยาระหว่าง 4-8เม.ย.นี้

ตัวแทนจากเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี,กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน(เอฟทีเอ วอทช์)และองค์กรพันธมิตรจำนวน300 คน ตั้งขบวนรณรงค์บริเวณหน้าหอศิลป์ สี่แยกมาบุญครอง เชิญชวนสื่อมวลชนและผู้สนใจ ให้จับตาดูการต่อรองแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ในการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) ไทย-สหรัฐ รอบที่3 ช่วงต้นเดือนเม.ย.ศกนี้

กลุ่มผู้ชุมนุมชูแผ่นป้ายที่มีข้อความ อาทิ "สิทธิบัตรยา ต้องไม่อยู่ในการเจรจาเอฟทีเอ" , "เขตการค้าเสรี ทำให้ ประเทศเสียเปรียบบริษัทยาข้ามชาติ"

นายกมล อุปแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีประเทศไทย กล่าวว่า ข้อเสนอที่สหรัฐจะให้ประเทศไทยยอมรับในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาตามกรอบกฎหมายของสหรัฐจะยิ่งทำให้บริษัทยาผูกขาดตลาดยาได้มากขึ้น

"ยาเป็นเรื่องของชีวิตและชีวิตของพวกเรามีค่ามากกว่าเรื่องการค้า ยาเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่ของประชาชน บทเรียนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ได้บอกกับพวกเราอย่างชัดเจนแล้วว่าเรื่องการค้าที่มุ่งแต่ผลกำไรส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ติดเชื้อฯ นับเป็นแสนเป็นล้านคนทั่วโลก เพราะว่าเข้าไม่ถึงยา"

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้ติดเชื้อเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากกรณีการถูกผูกขาดยา ซึ่งมีผลทำให้ยามีราคาแพงและรัฐบาลไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อจะบริการสาธารณสุขให้กับผู้ป่วยเหล่านี้ได้ผู้ป่วยอื่นๆเช่น ผู้ป่วยโรคไต โรคมะเร็ง โรคเบาหวานฯลฯ ต่างได้รับผลกระทบเพราะต้องพึ่งยาและใช้ยาอย่างต่อเนื่อง

นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล คณะทำงานโลกาภิวัตน์กล่าวว่า สหรัฐฯ พยายามที่จะล็อบบี้กลุ่มประชาสังคมต่างๆ เพื่อหวังลดกระแสคัดค้านก่อนการเจรจา โดยทีมผู้เชี่ยวชาญการเจรจาของสหรัฐได้ต่อสายขอพบกับภาคธุรกิจ สมาคมการค้า นักวิชาการ ตัวแทนภาคประชาสังคมและนักธุรกิจอเมริกันในเมืองไทย

โดยในจดหมายเชิญระบุว่า เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ตั้งคำถามและแสดงความห่วงใยในประเด็นต่างๆ ของการเจรจา ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5เมษายนนี้ เวลา 14.00น.ที่สำนักทนายความ
วิคเกอร์รี่และวรชัย

อย่างไรก็ตาม ในจดหมายเชิญนั้นได้ย้ำว่า เป็นการประชุมส่วนตัวซึ่งเป็นความลับและไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าฟังและทำข่าวเด็ดขาด ทั้งนี้กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชนได้เคยรับการติดต่อจากสถานทูตเพื่อให้เข้าหารือ โดยกลุ่มฯ ได้ยื่นเงื่อนไขให้ทางสถานทูตส่งข้อมูลการเจรจาต่อรองทั้งหมดและเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าฟังหรือทำข่าวหลังหารือ แต่ตัวแทนการเจรจาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด ทำให้ทางกลุ่มจึงได้ปฏิเสธที่จะเข้าหารือ เพราะเห็นว่า ทางฝ่ายสหรัฐไม่มีความจริงใจที่จะรับฟังความคิดเห็นและข้อห่วงใยของภาคประชาชนอย่างแท้จริง ไม่มีความโปร่งใส จึงไม่มีประโยชน์อันได้ที่จะไปร่วมหารือ