สุรีรัตน์กล่าวว่า
ที่ผ่านมาพบว่า กฟผ.เป็นองค์กรหลักที่ทำแผนพีดีพีเบื้องต้น และมีปัญหาว่า กฟผ.เป็นทั้งผู้ก่อสร้าง เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าและผู้ทำแผน จึงถือว่าเป็นองค์กรที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และถึงแม้ว่าแผนพีดีพีต้องผ่านการดูแลของกระทรวงพลังงาน แต่ต้องยอมรับว่าผู้บริหารกระทรวงพลังงานก็สวมหมวกหลายใบ เป็นทั้งข้าราชการและกรรมการในบริษัทด้านพลังงานและเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้า จึงทำให้การวางแผนพีดีพียังมองไม่รอบด้านเพียงพอ เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินมีต้นทุนภายนอกซึ่งเป็นผลกระทบถึง 276 สตางค์ต่อหน่วย แต่มีการตั้งกองทุนชดเชยให้ชุมชนเพียง 2 สตางค์ต่อหน่วย จึงนับว่าไม่คุ้มที่จะแลก อีกทั้งประเทศไทยก็ถูกองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือนเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวประชากรที่สูงกว่าของประเทศจีน อินเดีย และอินโดนีเซียแล้ว ดังนั้น รมว.พลังงานจึงต้องหันกลับมาดูเรื่องประสิทธิภาพให้มาก
สุรีรัตน์กล่าวอีกว่า ถ้าจะถามหาการเมืองใหม่ของระบบไฟฟ้าไทยนั้น ที่ผ่านมากิจการด้านพลังงานหาผลประโยชน์ได้ง่ายและกินยาวอยู่ไม่กี่กลุ่มก๊วน เบื้องต้นจึงเสนอให้สังคมช่วยกันดูว่า กระทรวงพลังงานจะมีการปรับปรุงกระบวนการวางแผนพีดีพีให้มีธรรมมาภิบาล มี CSR มากขึ้นอย่างไร และถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรให้มีองค์กรกลางขึ้นมาดูแลการวางแผนพีดีพี รับฟังความคิดเห็นอย่างจริงใจ เปิดกระบวนการมีส่วนร่วมให้สาธารณะชนได้ติดตามตรวจสอบมากขึ้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)