Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 18 ต.ค.2549          ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ ผู้บริหารระดับสูงรวมทั้งหัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลัง กลับไปพิจารณาทบทวนการดำเนินนโยบายต่างๆ ที่ได้ทำมาก่อนหน้านี้ ซึ่งหากเห็นว่านโยบายใดที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติก็ให้ดำเนินการและขยายผลต่อไปส่วนนโยบายใดทำแล้วไม่เกิดผล หรือมีแนวโน้มว่าจะไม่เกิดประโยชน์ก็ให้หาวิธีการยกเลิกโดยไม่ให้ส่งผลกระทบ


 



 "สำหรับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น เห็นว่าเป็นโครงการที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าต่อเพราะมีความสำคัญต่อประชาชนทั่วไป แต่คงต้องปรับปรุงให้เกิดความเหมาะสมกับภาระงบประมาณ" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า


 



รมว.คลัง กล่าวว่าในช่วงที่มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเสนอกฎหมายด้านเศรษฐกิจหลายฉบับพร้อม ๆ กัน เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนและดูแลเศรษฐกิจให้ขยายตัวแบบยั่งยืน แม้อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เห็นว่าที่ผ่านมากฎหมายที่ได้รับการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติในช่วงที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่วนใหญ่มักจะเป็นกฎหมายที่ส่งผลดีต่อส่วนรวมมาก เพราะการพิจารณาไม่ต้องผ่านสภาหลายขั้นตอนกลับไปกลับมา และอาจมีส่วนหวังผลจากการออกกฎหมายในช่วงมีพรรคการเมือง เพราะประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นประชาธิปไตยควบคู่กับคุณธรรม นอกจากนี้ยังเห็นด้วยกับการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)มีความเป็นอิสระ ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง


 



 "กระทรวงการคลังจะเร่งรัดการแก้กฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแลการเงินในประเทศ รวมถึงสถาบันการเงิน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเสนอเข้าสู่การพิจารณของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือรัฐสภาในอนาคต ซึ่งการที่มีสภาเดียวจะทำให้สามารถพิจารณากฎหมายเสร็จได้ทันภายในปีเดียวของรัฐบาลชุดนี้"รมว.คลัง กล่าว


 



ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่าในการจัดทำงบประมาณปี 2550 ว่า จะมีการปรับเพิ่มตัวเลขประมาณการรายได้อีกประมาณ 27,400 ล้านบาท ทำให้ประมาณการรายได้ในปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.427 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 1.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบประมาณรายจ่ายจะได้ข้อสรุปภายในเร็ววันนี้ เพื่อที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป โดยการเพิ่มประมาณการรายได้ดังกล่าว ได้หารือกับนายศุภรันต์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังแล้ว และรายได้ปี 2550 พิจารณาดูแล้ว สามารถเก็บเพิ่มได้เพราะว่าผลการจัดเก็บในปีที่แล้วสูงกว่าเดิม โดยได้ดูร่วมกับปลัดกระทรวงการคลังแล้ว คาดว่าจะเก็บรายได้เพิ่มขึ้นอีกรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากปีที่แล้วเก็บได้ 1.339 ล้านล้านบาท เมื่อเอาฐานตรงนี้ไปดูแล้ว มั่นใจว่าเก็บรายได้ภาษีเพิ่มขึ้นได้  


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประมาณการรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ก็จะยังทำงบประมาณแบบขาดดุลไม่เกิน 1.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เช่นเดิม โดยอาจจะขาดดุลน้อยลงกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก หรืออาจจะขาดดุลเท่าเดิม ซึ่งต้องรอข้อสรุปงบประมาณรายจ่ายอีกครั้ง


 



"จะขอให้คลังปรับเพิ่มประมาณการรายได้สำหรับงบประมาณปี 50 เป็นมากกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ทุกอย่างขึ้นตามเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว การขอเพิ่มประมาณการรายได้ปี 50 ก็เป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้งบประมาณในปีหน้าขาดดุลน้อยลง ในปีงบประมาณที่ผ่านมา การจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าประมาณการ เพราะเป้ารายได้ปีก่อนสูงเกินไปแต่ปีนี้ถ้าปรับเพิ่มอีกเล็กน้อย ก็คงไม่มีปัญหาอะไร"มรว.ปรีดิยาธรกล่าว


 



นอกจากนี้มรว.ปรีดิยาธร ได้สั่งให้สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ไปทบทวนงบประมาณก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต์ทั้งหมด ของรัฐบาลชุดก่อน หากเห็นว่าโครงการใดไม่มีความจำเป็นก็ให้ตัดทิ้งออกไป จากเดิมที่รัฐบาลชุดเดิมตั้งวงเงินในโครงการต่างๆ 7 สาขารวม 1.8 ล้านล้านบาท ตั้งแต่ปี 49 ถึงปี 52 ซึ่งบางโครงการจะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป


 



สำหรับโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน 7 สาขา ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 มีนาคม 2549 ระบุเงินลงทุนของโครงการเมกะโปรเจ็กต์ 5 ปี (2548-2552) วงเงิน 1.8 ล้านล้านบาท อาทิ  โครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ 423,430 ล้านบาท คมนาคม 345,603 ล้านบาท ที่อยู่อาศัย 330,360 ล้านบาท ทรัพยากรน้ำ 203,084 ล้านบาท ศึกษา 96,345 ล้านบาท สาธารณสุข 94,790 ล้านบาท  และอื่นๆ 310,630 ล้านบาท



 


ทั้งนี้ คาดว่าจะปรับลดวงเงินลง 30% โครงการทั้งหมด คือ โครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ที่มีวงเงินรวมประมาณกว่า 4 แสนล้านบาท โดยเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำหนดไว้ 7-10 สาย ควรพิจารณาลงทุนเฉพาะสายที่มีความจำเป็นจริงๆ รถไฟฟ้าลงได้อีกหรือเหลือเพียง 5 สาย โดยขณะนี้รัฐบาลชุดที่ผ่านมาอนุมัติลงทุนไปแล้ว 3 สาย รวมทั้งโครงการทรัพยากรน้ำ ที่รัฐบาลเดิมตั้งงบไว้กว่า 2 แสนล้านบาท อาจต้องนำมาทบทวนกันใหม่หมด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง วงเงินโดยรวมของเมกะโปรเจ็กต์ก็จะลดลงไม่ถึง 1.8 ล้านล้านบาท รวมทั้งวงเงินที่จะใช้ในปีงบ 50 ด้วย


 



 "ต่อไปเราคงไม่เรียกโครงการเหล่านี้ว่าเมกะโปรเจ็กต์อีกต่อไปแล้ว แต่จะแยกให้ชัดเจนว่าโครงการนี้เป็นของกระทรวงใดหน่วยงานใดรับผิดชอบเป็นงานๆไป ไม่ต้องเอามารวมเป็นก้อนใหญ่เหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา เพื่อสร้างภาพอีกต่อไป"แหล่งข่าวกล่าว


 



แหล่งข่าว กล่าวว่าม.ร.ว.ปรีดิยาธร ต้องการให้งบประมาณปีหน้าขาดดุลไม่เกิน 1 แสนล้านบาทตามกรอบเดิมที่วางไว้ ดังนั้นงบอะไรที่ยังไม่มีความจำเป็นก็ต้องชะลอออกไปก่อน หรือตัดทิ้งไป โดยคาดว่าจะตั้งงบรายจ่ายประจำปี 2550 ไม่เกิน 1.5 ล้านล้านบาท ขณะที่รายรับของรัฐบาลมีเพียง 1.4 ล้านล้านบาท เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนี้ต่อภาครัฐสูงเกินจริง ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังไม่เกิน 2% ของจีดีพี



 


 


 


 


ที่มา: http://www.siamturakij.com

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net