‘ชาญวิทย์ เกษตรศิริ’ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ อดีตศิลปินแห่งชาติ แถลงขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราว ‘ตะวัน-แฟรงค์’ คดี ม.116 หวังตุลาการยุคใหม่ ปกป้องประชาชน เป็นหลักประกันความยุติธรรม
8 มี.ค. 2567 วันนี้ (8 มี.ค. ) ตามที่ ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขัง "ทานตะวัน ตัวตุลานนท์” หรือ ตะวัน และ “ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร” หรือ แฟรงค์ นักกิจกรรมทางการเมือง ผู้ถูกกล่าวหาในคดี ม.116 จากเหตุการบีบแตรใส่ขบวนเสด็จ นับเป็นการฝากขังเป็นครั้งที่สาม มีระยะเวลา 12 วัน
โดยเห็นว่าพนักงานสอบสวนยังมีพยานบุคคลต้องสอบอีก 2 ปาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา และยังต้องรอวิดีโอพยานหลักฐาน เพื่อที่จะพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป ทั้งผู้ต้องหาทั้งสองมีสิทธิยื่นประกันตัวต่อศาลอีก แต่กำชับให้พนักงงานสอบสวนเร่งรัดสอบปากคำให้แล้วเสร็จในการฝากขังครั้งนี้
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (ใส่สูททางซ้ายมือ) และ สุชาติ สวัสดิ์ศรี (ชุดสีน้ำเงิน)
ภาพ: แมวส้ม
ต่อมา เวลา 14.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาสตราจารย์พิเศษ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ สุชาติ สวัสดิ์ศรี อดีตศิลปินแห่งชาติ เจ้าของนามปากกา “สิงห์สนามหลวง” ได้เดินทางยื่นคำแถลงต่อศาล
อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าเมื่อทราบคำสั่งของศาลว่าอนุญาตให้ฝากขังทั้งสองต่อเป็นผัดที่ 3 ตนและสุชาติ รู้สึกผิดหวังมาก ในวันนี้ตนยื่นคำแถลงต่อศาลระบุว่า “ข้าพเจ้าเคยเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาหลายยุคหลายสมัย เห็นความโหดร้ายในการปราบปรามประชาชนในการสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 อันเกิดขึ้นจากการที่มีผู้คนอ้างความเชื่อที่ถูกปลุกปั่นยุยงให้เข้าประหัตประหารเยาวชนนักเรียนนิสิตนักศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สร้างขึ้นโดยมีเจตนารมณ์ว่าบ้านเมืองต้องมีกฎหมายเป็นหลัก ผู้คนต้องเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมายอันเป็นเจตนารมณ์ของ ปรีดี พนมยงค์ บรรพตุลาการและรัฐบุรุษของพวกเราทั้งหลาย เพื่อให้การปกครองบ้านเมืองนั้น ใช้การปกครองในระบบกฎหมายเท่านั้นโดยปราศจากอคติทั้งปวง
เมื่อเด็กทั้งสองคนนี้ยังคงเป็นผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องใช้หลักการสันนิษฐานไว้ก่อน ว่าเขาทั้งสองเป็นผู้บริสุทธิ์และต้องใช้หลักการความเป็นธรรมทางกฎหมายทั้งปวงที่ท่านมีอยู่ในมือเพื่อใช้ดำรงหลักการและคุ้มครองบ้านเมืองให้สงบสุขต่อไป
จึงขอให้พิจารณาไม่รับฝากขังเยาวชนทั้งสองตามคำขอของตำรวจและให้ปล่อยชั่วคราวไปตลอดเวลาในการพิจารณาคดีจนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด“
ด้าน อดีตศิลปินแห่งชาติ เจ้าของนามปากกา “สิงห์สนามหลวง” ยื่นคำแถลงต่อศาลอาญา ระบุว่า ”ข้าพเจ้าเป็นอดีตนักศึกษาเก่าของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เติบโตมาในสมัยของเผด็จการถนอม-ประภาส ตลอดชีวิตที่ผ่านมาได้รับรู้และรับทราบรสชาติของการที่ประชาชนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้เผด็จการเป็นอย่างดี รู้รสชาติของสภาวะที่อำนาจตุลาการตกอยู่ภายใต้การสั่งการของเผด็จการ รู้รสชาติของการถูกถอดถอนตำแหน่งศิลปินแห่งชาติจากการมีความเห็นที่ไม่ตรงรัฐ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าเด็กสองคนในคดีนี้ ไม่ควรได้รับสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้รับรู้รับทราบ ไม่เคยสมควรต้องได้รับรู้รสชาติเช่นตอนที่ข้าพเจ้าได้ถูกถอดถอนจากตำแหน่งศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เคยได้รับโอกาสในการโต้แย้งใดๆ
เมื่อเวลาผ่านมาและข้าพเจ้าเติบโตมีปริทัศน์ขึ้น ข้าพเจ้าอยากให้เด็กได้รับโอกาสนั้น และได้รับโอกาสที่จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นหลักการทางกฎหมาย
ข้าพเจ้าขอเรียนต่อศาลที่เคารพต่อไปว่า แม้ข้าพเจ้าจะรับรู้รสชาติของภาวะที่อำนาจตุลาการตกอยู่ภายใต้การสั่งการของเผด็จการ แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่าตุลาการในยุคใหม่ไม่ใช่เช่นนั้น เชื่อมั่นว่าตุลาการเป็นอิสระได้และเชื่อมั่นว่าระบบตุลาการไทยจะเป็นเสาหลักของประเทศไทยในการปกป้องประชาชนผู้เห็นต่างและถูกคุกคาม
สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอเรียนต่อศาลที่เคารพว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าการไม่รับฝากขังและปล่อยตัวชั่วคราวเด็กกลับไปสู่พ่อแม่ของเขาจะไม่ทำให้ประเทศไทยในพุทธศักราช 2567 ล่มจมล่มสลายแต่ประการใด จึงขอให้ท่านไม่รับฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองนี้ต่อไปและหากมีการรับฝากขังจองจำผู้ต้องหาทั้งสองนี้ไว้ ก็ขอให้ผู้พิพากษา ซึ่งเป็นผู้พิจารณาปล่อยชั่วคราวพิจารณาให้ปล่อยชั่วคราวเยาวชนทั้งสองและเป็นหลักประกันความยุติธรรมให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายด้วย”
(ซ้าย) พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และ (ขวา) สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)