Skip to main content
sharethis

‘ปิยบุตร’ วิจารณ์ท่าทีฝ่ายก้าวหน้า หลังบรรยากาศการถกเถียงถดถอยลง เหลือเพียงการแซะกันไปมาซึ่งจะทำให้สังคมเบื่อหน่ายสิ้นหวังในที่สุด แนะพรรค-ผู้สนับสนุนนทำงานทางความคิดให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อโต้กลับอำนาจเก่า

8 ธ.ค. 2566 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่าน X @Piyabutr_FWP วิจารณ์ฝ่ายก้าวหน้าว่า การตอบโต้ที่ดำเนินกันในทางโลกออนไลน์ที่มักเป็นการแซะกันไปมาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นั้นไม่เกิดประโยชน์และทำให้บรรยากาศสังคมสิ้นหวัง แนะให้พรรคการเมืองและผู้สนับสนุนให้มุ่งทำงานทางความคิด นำเสนอสังคมแบบใหม่ในฝันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นในบรรยากาศที่ขั้วอำนาจเก่าโต้กลับ  

โพสต์ดังกล่าวระบุว่า นับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน พลังของฝ่ายก้าวหน้า ก้าวรุดหน้ามากขึ้นทั้งในทางปริมาณและในทางคุณภาพ จนอาจกล่าวได้ว่า ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษนี้ พลังฝ่ายก้าวหน้า ทำ “สงครามทางความคิด” (War of Position) รุกคืบ เอาชนะ ฝ่ายอนุรักษ์/ฝ่ายชนชั้นปกครองมากขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ “สิ่งเก่าใกล้ตาย แต่ยังไม่ตาย สิ่งใหม่จะเกิด แต่ยังเกิดไม่ได้” แบบที่กรัมชี่ว่าไว้เช่นนี้ ทำให้ยังไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะโดยเด็ดขาด พลังใหม่ฝ่ายก้าวหน้ายังไม่สามารถขึ้นครองอำนาจรัฐได้ ในขณะเดียวกัน พลังฝ่ายชนชั้นปกครอง ยังครองอำนาจอยู่ แต่สูญเสีย “อำนาจนำ” ไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถได้ความยินยอมพร้อมใจได้ดังเดิม ต้องใช้อำนาจบังคับกดปราบเป็นหลักแทน

ผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 และเหตุการณ์การแสดงออกทางการเมืองในช่วงปี 63-64 คือ ผลรูปธรรมที่แสดงให้เห็นถึงการรุกคืบของพลังฝ่ายก้าวหน้า

นี่จึงเป็นที่มาของการสนธิกำลังกัน 3 ฝ่าย ระหว่าง “ชนชั้นนำดั้งเดิม + ชนชั้นนำทางการเมือง + ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ” เพื่อรักษาอำนาจและสถานะให้คงอยู่ดังเดิมต่อไป

แต่พวกเขาก็ทราบดีว่า การครองอำนาจเพื่อรักษาอำนาจสถานะให้คงอยู่ต่อไป โดยไม่ได้ทำอะไรเลย นั่นคือ การรอวันล่มสลาย ดังนั้น พวกเขาต้องปฏิบัติการรุกคืบเอาคืนฐานที่มั่นทางความคิด

War of Position โต้กลับ กำลังดำเนินไป เมื่อพลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ฝ่ายอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง ก็ต้องทำความคิดสะกดคนให้เชื่อว่า มันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากอยากเปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้การประนีประนอม ยอมถอยแบบทุกกระบวนท่า ถอยแบบไม่มีเงื่อนไข เพื่อแลกกลับการเข้าไปมีอำนาจ เรื่องทางเศรษฐกิจก็สำคัญ ต้องทำให้คนมั่นใจว่า ชีวิตเรา เอาเท่านี้ไปก่อน อย่างน้อยก็ดีกว่าเดิม พวกเขาต้องอธิบายว่า ความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 20 ปี กำลังหมดไป คนรุ่นใหม่ เมื่อเติบโตขึ้น ก็ต้องการชีวิตที่ดี หันหน้ามาทำชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวันดีกว่า ฯลฯ

นี่คือ การทำสงครามทางความคิด โต้กลับ

เมื่อพวกเขาโต้กลับเช่นนี้ พลังฝ่ายก้าวหน้า ก็ต้องเข้าสมรภูมิการทำสงครามทางความคิดนี้เพื่อต่อสู้

มวลชน สมาชิก ผู้ปวารณาตัวสังกัดฝ่ายก้าวหน้า คือ ปัญญาชน ในความหมายแบบที่กรัมชี่บอก

ทุกคนสามารถรับบทบาทในการทำงานทางความคิดได้

แต่การต่อสู้ทางความคิดกับพวกเขา ด้วยการตอบโต้รายวัน รายชั่วโมง ในโลกโซเชียล จับผิดเรื่องเล็กน้อย โต้เถียงกันไปมาในโลก X แบบที่ทำกันอยู่ดาษดื่น ณ เวลานี้ อาจช่วยทำให้สบายใจ สะใจ หรือปรามการโจมตีของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่ยุทธวิธีที่จะเอาชนะทางความคิดได้

การรบทางความคิดรอบใหม่ (หลังจากพวกเขาสนธิกำลังกันสามฝ่าย) ต้องนำเสนอสังคมแบบใหม่ในฝัน ทำให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต้องนำเสนอความเป็นไปได้ ต้องสู้กับความเชื่อที่ว่าเป็นไปไม่ได้ มิใช่ เฝ้ามองว่านายกรัฐมนตรีหลุดอะไร มีประเด็นอะไรให้เอาไปแซะต่อได้บ้าง

พรรคการเมืองและนักการเมืองของพรรค ต้องรับบทบาทชี้นำ มวลชนเอาการเอางานของพรรคทั้งออนกราวนด์และออนไลน์ ต้องช่วยกันชี้นำ ยิ่งปล่อยให้สังคมสิ้นหวังเท่าไร ยิ่งปล่อยให้คนจำนวนมากรำคาญกับการซัดกันไปมาในเรื่องไม่เป็นเรื่องระหว่างสองฝ่ายเท่าไร ก็ยิ่งทำให้พวกเขาชนะในสงครามความคิดรอบใหม่นี้

ปิยบุตร ยกตัวอย่างเพิ่มเติมต่อจากโพสต์ก่อนหน้านี้ด้วยว่า การตอบโต้ที่ดำเนินกันในทางโลกออนไลน์ โดยเฉพาะใน X นี้ ส่วนใหญ่ มีเนื้อหาจำพวก พรรคที่ฉันเชียร์เก่งกว่าพรรคที่เธอเชียร์ พรรคที่ฉันเชียร์ทำเรื่องนี้ก่อนพรรคที่เธอเชียร์ ผู้นำของพรรคที่ฉันเชียร์ เท่ คูล ดูดี อินเตอร์ มีคนแห่แหนยอมรับมากกว่าผู้นำของพรรคที่เธอเชียร์ ผู้นำของพรรคที่ฉันเชียร์ ชอบธรรมกว่า นายกฯของพวกเธอ เพราะ ได้ ส.ส.มา 151 คน 14.4 ล้านเสียง เป็นต้น

การโต้เถียงในเรื่องทำนองนี้ ไม่ได้ทำให้พลังฝ่ายก้าวหน้าเอาชนะในสมรภูมิทางความคิด (War of Position) ยกใหม่ ต่อพลังอนุรักษ์และชนชั้นปกครอง

ตรงกันข้าม… ยิ่งไปสาละวนถกเถียงแต่เรื่องพรรค์นี้ ก็จะยิ่ง “เข้าทาง” War of Position ของฝ่ายอนุรักษ์

พลังฝ่ายก้าวหน้า ต้องนำเสนอ สิ่งใหม่ สังคมใหม่ การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ ให้เห็นเป็นรูปธรรม

พรรคที่ปวารณาตนเป็นตัวแทนของพลังใหม่ แกนนำของพรรค นักการเมืองของพรรค สมาชิกของพรรค ต้องชี้นำความคิดมวลชน มิใช่ ไปร่วมอยู่ใน “สนาม” โต้เถียงแบบนี้ หรือไปมุ่งแต่นำเสนอประเด็นกระแสฉาบฉวย

กระแสฉาบฉวย ความนิยม นั้นดี มีประโยชน์ ทำให้ได้คะแนนเสียงเพิ่ม แต่อาศัยเรื่องนี้แต่เพียงอย่างเดียว ย่อมไม่เพียงพอและไม่ยั่งยืน มาแล้วก็ไป

วันนี้ หมดเทศกาลเลือกตั้งแล้ว ต้องเร่งเข้าทำงานความคิดต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้ฝ่ายชนชั้นปกครอง ซึ่งมีอำนาจรัฐ อำนาจงบประมาณขยายงานทางความคิดแต่เพียงฝ่ายเดียว

พรรคและนักการเมืองของพรรค ต้องนำเสนอภาพสังคมใหม่ การเปลี่ยนแปลงใหม่ ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เปลี่ยนไปแล้วจะดีอย่างไร มวลชนเอาการเอางานของพรรค ก็ต้องช่วยขยายความคิดต่อ

มิใช่ ตื่นเช้า เปิดคอม ค้นหาประเด็นด่านายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และพรรคอื่น หากทำเพียงเท่านี้ ก็เข้าไปอยู่ในเกมของพวกเขา และทำให้คนกลางๆ ที่ไม่ได้สังกัดทางไหนแบบเอาการเอางานเต็มร้อย เบื่อ และถอยหนี

ปิยบุตร ทวีตข้อความทิ้งท้ายว่า จุดเริ่มต้น อาจต้องให้พรรคและนักการเมืองของพรรค ผลิตคอนเทนต์ ชี้นำความคิดออกมา และมวลชนผู้สนับสนุนพรรคขยายงานความคิดต่อ เหมือนกับสมัยที่เป็นฝ่ายค้านตลอด 4 ปีที่ผ่านมา

นับตั้งแต่เลือกตั้งจบ จนถึงตอนนี้ ผมเห็นว่า มวลชนผู้สนับสนุนพรรคส่วนใหญ่ไปถกเถียงกันแต่ประเด็นเดิม

หากพรรคและนักการเมืองของพรรค เริ่มต้นชี้นำเนื้อหาสาระ ผลิตสาระให้มากขึ้น ก็จะช่วยก่อรูปการขยายงานความคิดได้ต่อ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net