“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล ระบุ กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมเดินหน้า ‘โครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล’ ยกระดับเกษตรกรสู่นักบินโดรน 1,000 คนทั่วประเทศ ภายใน 1 ปี หวังเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจประเทศ 2 หมื่นล้านบาท

24 พ.ย. 2566 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทยรายงานต่อสื่อมวลชน ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ระบุว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Depa) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ดำเนินโครงการ 1 ตำบล 1 ดิจิทัล (ชุมชนโดรนใจ) ขับเคลื่อนกลไกสร้างระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาชุมชนด้วยเทคโนโลยีโดรนเพื่อการเกษตร ยกระดับความสามารถและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ส่งต่อความรู้ ความเข้าใจและทักษะที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและซ่อมบำรุงโดรนเพื่อการเกษตรแก่ชุมชนและเกษตรกรทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูก และเป็นกลไกลสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ สร้างความมั่นคงและปลอดภัยของเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพทุนมนุษย์ของประเทศด้านดิจิทัล เสริมความสามารถด้านการแข่งขันด้านการเกษตรของประเทศ

ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ประเสริฐกล่าวว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งเป้าหมายให้เกิดการใช้งานโดรนเพื่อการเกษตร 500 ชุมชน บนพื้นที่เกษตรกรรมไม่น้อยกว่า 4 ล้านไร่ ซึ่งจะเกิดผลด้านเศรษฐกิจและสังคม มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้และสอบใบอนุญาตบินโดรน 5 แห่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการยกระดับทักษะเกษตรกรสู่การเป็นนักบินโดรน 1,000 คน ควบคู่กับการเสริมทักษะในการซ่อมบำรุง สร้างช่างซ่อมโดรนชุมชนไม่น้อยกว่า 100 คนภายใน 1 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดตั้ง 50 ศูนย์บริการทั่วประเทศในอนาคตให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและจำหน่ายโดรน รวมถึงให้บริการชุมชนโดยรอบ เพื่อรองรับการใช้งานโดรนเพื่อการเกษตรที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต

นอจากนี้ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานโดรนเพื่อการเกษตรที่ผลิตโดยคนไทย เนื่องจากได้มีการกำหนดให้โดรนที่จะเข้าร่วมโครงการจะต้องผลิตภายในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐาน dSure เท่านั้น รวมถึงเป็นการยกระดับระบบนิเวศเพื่อการพัฒนาชุมชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งโครงการนี้ Depa จะช่วยเหลือเกษตร กรในการออกค่าใช้จ่าย 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนชุมชนจะเสียค่าใช้จ่ายเพียง 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งโครงการนี้จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ตามแนวนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ ของรัฐบาล