Skip to main content
sharethis

นักเศรษฐศาสตร์คาดปัญหาปมทุจริต STARK ส่งผลกระทบตลาดการเงินภาพรวมจำกัด แต่ส่งผลต่อตลาดหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูงรุนแรง ยังมีอีกหลายบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้และอาจผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น เงินทุนไหลเข้าฟื้นตลาด ดัชนีพ้นจุดต่ำสุดแล้ว มองตลาดสวิงจากปัจจัยการเมือง ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่ม

2 ก.ค. 2566 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย แจ้งข่าวต่อสื่อมวลชนเปิดเผยว่าปัญหาปมทุจริต STARK ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินโดยภาพรวมจำกัด ประเมินเบื้องต้น เกิดความเสียหายต่อนักลงทุนในหุ้นสามัญและหุ้นกู้ STARK ไม่ต่ำกว่า 3.4 หมื่นล้านบาทโดยเฉพาะในส่วนของหุ้นกู้ประมาณ 9.1 พันล้านบาท แต่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูงรุนแรง หุ้นกู้เครดิตเรตติ้งต่ำ ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูงขายไม่ออกและต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้นสำหรับบริษัทที่มีฐานะการเงินไม่แข็งแรง ต้นทุนการออกหุ้นกู้เฉลี่ยสูงขึ้นทุกอันดับเครดิตของทุกกลุ่มอายุของตราสาร 0.09%-0.27% ยังมีอีกหลายบริษัทที่ผิดนัดชำระหนี้และอาจผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นได้ เช่น บริษัทใน MAI ธุรกิจทางด้านการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม การออกหุ้นกู้จากบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง มีบรรษัทภิบาลยังได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน การผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ Stark ผลกระทบส่วนใหญ่จะมีต่อบริษัทขนาดกลางและเล็กที่ไม่มีเครดิตเรตติ้งหรือมีเครดิตเรตติ้งต่ำ กลุ่มบริษัทก็จะหันไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อประกอบกิจการแทน 

หลังวิกฤติเศรษฐกิจการเงินต้มยำกุ้งเมื่อ 26 ปีที่แล้ว สถาบันการเงินและตลาดทุนไทยได้ผ่านการยกระดับมาตรฐานและปฏิรูปมาอย่างต่อเนื่อง แม้นจะมีระบบและกลไกที่ดีขึ้น แต่การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง ความมีธรรมาภิบาลและจรรยาบรรณของผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนมีความสำคัญมาก ไล่เรียงตั้งแต่ กรรมการบริษัท กรรมการอิสระ สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานตรวจสอบบัญชี นักวิเคราะห์ บริษัทจัดอันดับเครดิต กลต และ ตลาดหลักทรัพย์ จริยธรรมต้องฝังอยู่ในวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ พฤติกรรมและการปฏิบัติงาน   
 
ระยะสั้นต้องเร่งตรวจสอบผู้กระทำความผิด อายัดทรัพย์ของบริษัทที่กลุ่มผู้กระทำทุจริตโกงด้วยการยักย้ายถ่ายเทออกไปกลับมาคืนนักลงทุนและเจ้าหนี้ หาทางเยียวยา นักลงทุนรายย่อย โดยเร่งด่วน ด้วยการสนับสนุนการดำเนินคดีแบบกลุ่มเพื่อเรียกร้องเงินลงทุนที่ถูกโกงไปโดยไม่ชักช้า มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หากดำเนินการตามที่กล่าวมาได้เร็วและมีประสิทธิภาพความเชื่อมั่นต่อตลาดการเงินจะกลับคืนมาเร็ว 

ส่วนมาตรการระยะยาวนั้น เริ่มตั้งแต่การรับบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีความเข้มงวด รัดกุมรอบคอบยิ่งกว่าเดิม การทำ Backdoor Listing จะต้องมีหลักเกณฑ์การตรวจสอบบริษัทสูงขึ้น ผู้สอบบัญชีอนุญาตที่ตรวจพบว่าให้ความร่วมมือกับการทุจริตต้องถูกลงโทษมากกว่าเพียงแค่พักหรือถอนใบอนุญาต การจัดอันดับเครดิตของบริษัทจัดอันดับเครดิตของไทยต้องมีมาตรฐานสูงกว่าเดิม เป็นต้น

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า คาดการณ์ว่าจะมีกระแสเงินทุนไหลเข้าฟื้นตลาดการเงินของไทยและเอเชีย ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะพ้นจุดต่ำสุดแล้ว โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี 5 เดือนที่ 1,461.61 จุด มองตลาดหุ้นและตลาดการเงินอาจสวิงขึ้นลงจากปัจจัยการเมือง สถานการณ์ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นของภาคท่องเที่ยว ภาคการบริโภค ภาคการลงทุนขยายตัวเพิ่มขึ้น รายได้นักท่องเที่ยวปีนี้อาจแตะ 1.3 ล้านล้านบาท สนับสนุนให้ตลาดแรงงานภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวเกือบเท่าระดับก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโควิด ผลกระทบจากภัยแล้งเอลนีโญต่อภาคเกษตรกรรมยังจำกัด สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมไม่เกิน 35,000-45,000 ล้านบาท และ ความเสียหายอาจเกิดขึ้นในปลายปีต่อเนื่องถึงปีหน้ามากกว่า อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง สามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ค่อนข้างดี แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมไม่น่าจะมากกว่า 0.50% และน่าจะยุติอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ระดับ 2.5% แม้นในระยะสั้นเงินบาทจะได้รับแรงกดดันอ่อนค่าจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ แต่ช่วงปลายปีค่าเงินน่าจะแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 31-32 บาทต่อดอลลลาร์ได้จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด การฟื้นตัวแรงของภาคการท่องเที่ยวและกระแสเม็ดเงินไหลเข้า              

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net