Skip to main content
sharethis

ศาลยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คนคดีที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าด้วยข้อหาประทุษร้ายราชินีจากเหตุขบวนเสด็จผ่านไปที่ชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล พยานหลักฐานชัดไม่ปรากฏว่าจำเลยเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จ ทั้ง ตร.และผู้ชุมนุมก็ไม่รู้ว่าจะมีขบวน อีกทั้งมีนายตำรวจแจ้งศูนย์แล้วว่าผ่านไม่ได้แต่ยังมีการยืนยันใช้เส้นทางกลับมา

28 มิ.ย.2566 ที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีนัดอ่านคำพิพากษาคดีขบวนเสด็จที่มีจำเลย 5 คนจากเหตุการณ์ที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ ผ่านไปบริเวณที่มี #ม็อบ14ตุลา ของคณะราษฎร 63 บนถนนพิษณุโลก เมื่อ 14 ต.ค.2563 ทำให้พวกเขาทั้ง 5 คน ถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จ

คุมตัวบุญเกื้อหนุน-เอกชัย เตรียมแจ้งข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพราชินี จ่อออกหมายจับเพิ่มอีก

จำเลยในคดีนี้ทั้ง 5 คน ได้แก่ ฟ้องเอกชัย หงส์กังวาล นักกิจกรรมและเคยถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกหลายคดี, บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, สุรนาถ แป้นประเสริฐ, ชนาธิป ชัยยะยางกูร และภาณุภัทร ไผ่เกาะ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับถูกฟ้องด้วย 3 ข้อหาคือ ประทุษร้ายพระราชินี หรือรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 ข้อหาชุมนุมมั่วสุมตามมาตรา 215 และข้อหากีดขวางจราจรตามพ.ร.บ.จราจรฯ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าศาลมีคำพิพากษาโดยสรุปได้ว่าให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คนทุกข้อหาโดยกล่าวถึงทั้งพยานบุคคลทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและหลักฐานภาพถ่ายและวิดีโอที่ชี้ไปในทางเดียวกันว่าทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุและผู้ชุมนุมที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวไม่มีใครทราบมาก่อนว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านเส้นทางดังกล่าว ที่แม้ว่าจะมีการประกาศเป็นทางการว่าจะมีการเสด็จไปที่ไหนแต่ไม่ได้มีประกาศเส้นทางที่ใช้เดินทางด้วย อีกทั้งไม่ปรากฏว่ามีการประชาสัมพันธ์ว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านเส้นทางที่เกิดเหตุในคดีนี้

ศาลได้อ่านส่วนคำให้การของพยานตำรวจชุดควบคุมฝูงชนในที่เกิดเหตุที่ระบุว่าทางเจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุทราบว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านจุดเกิดเหตุก่อนที่ขบวนจะมาถึงราว 5 นาที นอกจากนั้นยังมีพยานนายตำรวจระดับผู้การของ สน.ดุสิตในขณะนั้นที่เบิกความว่าได้รับการประสานทางวิทยุแจ้งว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านมาเส้นทางที่มีผู้ชุมนุมอยู่จึงได้แจ้งกลับไปว่าไม่สามารถผ่านเส้นทางนี้ได้แต่ยังคงได้รับการยืนยันใช้เส้นทางดังกล่าวกลับมา นอกจากนั้นยังไม่ได้มีการจัดเตรียมเส้นทางตามแนวปฏิบัติกรณีที่จะมีขบวนเสด็จผ่านที่จะต้องให้เคลื่อนย้ายรถที่จอดริมทางออก แต่ปรากฏว่ายังมีรถบัส 4 คันจอดอยู่บนเส้นทางขณะที่ขบวนผ่าน

นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็นวิดีโอจากกล้องวงจรปิดในมุมสูงที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่ขบวนเสด็จผ่านแต่ในส่วนของภาพจากกล้องในมุมระดับสายตาทำให้เห็นว่ามีแนวตำรวจจำนวนหลายแถวทำการชักล้อมรอบขบวนเสด็จและเคลื่อนผ่านแนวผู้ชุมนุมและทำให้ไม่เห็นว่าข้างหลังแนวตำรวจมีรถพระที่นั่งผ่าน จึงอาจทำให้จำเลยอาจไม่เห็นว่ามีขบวนเสด็จอยู่หลังแนวตำรวจ

จากพยานและหลักฐานสอดคล้องกับทางนำสืบของจำเลยที่พวกเขาระบุว่าไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีขบวนเสด็จผ่านเส้นทางดังกล่าว และฝ่ายจำเลยเห็นว่าทางตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจำนวนมากเข้ามาจึงคิดว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมจึงเข้าไปกันไว้ นอกจากนั้นภาพจากกล้องต่างๆ เมื่อเทียบเวลาที่ปรากฏรายนาทีแล้วก็ทำให้เห็นว่าพวกเขาออกไปข้างทางเมื่อขบวนผ่านบริเวณที่พวกเขาอยู่ โดยจำเลยที่ 1 ได้ชูสามนิ้วขึ้นและบอกว่ามีขบวนเสด็จผ่านและจำเลยที่ 3 ยังบอกให้ผู้ชุมนุมอื่นๆ นั่งลงหลังจากที่แนวผู้ชุมนุมเปิดทางไปแล้ว

ทั้งนี้ศาลกล่าวถึงหลักฐานวิดีโอไว้อีกว่า ตามเวลาในกล้องวงจรปิดทำให้เห็นว่าทั้งขบวนเสด็จผ่านบริเวณดังกล่าวไปได้ในเวลาประมาณ 6 นาที ส่วนรถพระที่นั่งก็สามารถไปได้ในเวลาประมาณ 4 นาที แม้ว่าจะขบวนจะติดขัดบ้างแต่ก็สามารถเคลื่อนตัวไปได้ในเวลาไม่นานอีกทั้งยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ชุมนุมขว้างปาสิ่งของใส่ขบวนด้วย

ในส่วนของข้อหากีดขวางจราจรศาลเห็นว่าในบริเวณที่เกิดเหตุมีรถตู้ตำรวจจอดปิดขวางถนนอยู่แล้วศาลจึงยกฟ้องจำเลยข้อหานี้ด้วยเช่นกัน

หลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น บุญเกื้อหนุนจำเลยที่สองได้ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณศาลและกล่าวว่าตลอดที่ผ่านมาเขาได้ให้การยืนยันมาตลอดว่าในเหตุการณ์ขณะนั้นเขาเชื่อว่าตำรวจกำลังจะเข้าสลายการชุมนุมและไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางขบวนเสด็จ และเขายังได้ขอบคุณผู้พิพากษาที่ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วย

เอกชัยในฐานะจำเลยที่หนึ่งลุกขึ้นกล่าวกับผู้พิพากษาเช่นกันว่าที่ผ่านมาเขาถูกดำเนินคดีมาหลายคดีแล้วแม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลแต่เขาก็เชื่อมาตลอดว่าศาลจะยังให้ความเป็นธรรมกับเขาได้ ตอนที่เกิดคดีนี้ขึ้นมามีคนที่ติดต่อมาบอกให้เขาหลบหนี แต่เขาก็ยืนยันว่าจะไม่หนีเพราะเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร และยังเชื่อว่าศาลยังเป็นที่พึ่งได้

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศรายุทธ สังวาลย์ทอง เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษโดยอ้างว่าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์และได้รวบรวมภาพและวิดีโอหลักฐานมอบให้กับทางตำรวจเพื่อสืบหาผู้กระทำความผิดและดำเนินคดี และทำให้ตำรวจเข้าจับกุมจำเลยบางส่วนเช่นเอกชัยจำเลยที่ 1 ขณะเดินทางเข้ามอบตัวและบางรายเดินทางเข้ามอบตัวกับทางตำรวจเองก่อนถูกจับกุม

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net