Skip to main content
sharethis

หลัง กกต.มีมติเอกฉันท์รับปม 'พิธา' ถือหุ้นสื่อเป็นความปรากฎ เตรียมตั้ง คกก.สืบสวนไต่สวนดำเนินการเอาผิดตาม ม.151 เหตุรู้อยู่แล้วไม่มีสิทธิ์สมัครแต่ยังลงสมัคร - 'ชำนาญ' ชี้ถ้า กกต. เอาผิดจริง เป็นอำนาจศาลยุติธรรม ชี้อีกนานกว่าคดีจะจบ - 'สมชัย' มอง วัตถุดิบเพียงพอให้ ส.ว.ที่ตั้งใจไม่เลือก 'พิธา' เป็นนายก - 'ทนายเดชา' มั่นใจ 'พิธา' รอดคดีถือหุ้นสื่อ 100% ชี้ชัดเทียบเคียงคดี 'ธนาธร' เมื่อปี 2563 มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อัยการสูงสุดยังสั่งไม่ฟ้อง

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2566 Voice online รายงานว่าคณะกรรมการ​การ​เลือกตั้ง​ (กกต.)​ มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับคำร้องกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้ง เหตุการถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น แต่ให้รับเรื่องไว้พิจารณาเป็นความปรากฏ

โดยเห็นว่าคำร้องที่ได้ยื่นมาของทั้ง 3 คน เป็นคำร้องที่ยื่นเกินระยะเวลาที่จะสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา ในกรณีที่ร้องว่าผู้สมัครรายใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จึงเห็นควรพิจารณาสั่งไม่รับคำร้องไว้ตามระเบียบ

แต่เนื่องจากกรณีคำร้องดังกล่าวมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์และมีหลักฐานพอสมควร และมีข้อมูลเพียงพอที่จะสืบสวนไต่สวนต่อไป ว่าพิธาเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และรู้อยู่แล้ว ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามแต่ได้สมัครรับเลือกตั้ง อันเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 42(3) และมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. จึงเห็นควรพิจารณาสั่งให้ดำเนินการไต่สวนเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฎ โดยคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนที่ได้รับแต่งตั้งจะดำเนินการไต่สวนตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบต่อไป

'ชำนาญ' ชี้ถ้า กกต. เอาผิดจริง เป็นอำนาจศาลยุติธรรม ชี้อีกนานกว่าคดีจะจบ

ขณะที่ ชำนาญ จันทร์เรือง อดีตรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แสดงความเห็นถึงกรณีนี้ว่า ผมขอให้ความเห็นว่ากรณีตาม ม.42(3)และม.151ตามพรป.เลือกตั้ง ส.ส.ฯ ซึ่งมีโทษโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปีนั้น จะต้องใช้เวลาอีกยาวนาน เพราะเรื่องที่จะอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ไม่ใช่อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่ง กกต.สอบสวนเสร็จจึงจะต้องไปดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งมีขั้นตอนต่อไปยังพนักงานอัยการและอีก 3 ชั้นศาล

สรุปว่า เรื่องนี้อีกนานครับ หมดสมัยสภาชุดที่ 26 แล้วจะเสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้

มาตรา 42 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 

มาตรา 151 ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนดยี่สิบปี

ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาล มีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่ง ดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย 

'สมชัย' มอง วัตถุดิบเพียงพอให้ ส.ว.ที่ตั้งใจไม่เลือก 'พิธา' เป็นนายก

10 มิ.ย. 2566 นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟคบุ๊ค ระบุว่าหวยออก 151 เป็นบวกหรือลบต่อ "พิธา" ชี้ 4 ข้อ กกต.ยกคำร้องคดีถือหุ้น แต่กลับเตรียมดำเนินคดีอาญา ชี้ วัตถุดิบเพียงพอ เหล่า ส.ว.ที่ตั้งใจไม่เลือก "พิธา" เป็นนายกฯ ชี้ อาวุธหนักต่างๆ กำลังลำเลียงสู่สมรภูมิสนามรบ และไม่จบแค่ ปืนต่อสู้อากาศยาน 151 แต่แพ้ชนะกลับอยู่ที่ฝ่ายเสนาธิการผู้วางแผน

การยกคำร้องคดีถือหุ้น แต่กลับเตรียมดำเนินคดีอาญาฐานรู้ว่าขาดคุณสมบัติแต่ยังมาสมัคร ส.ส. ของพิธานั้น เป็นบวกหรือลบ

1. คดีอาญานั้น ต้องฟ้องศาลอาญา ซึ่งมีกระบวนการที่ยาวนานเป็นปี และเป็นหลักประกันความยุติธรรมว่า ต้องผิดจริงจึงถูกลงโทษ ไม่สามารถเอาผิดโดยง่าย แต่โทษรุนแรงกว่า เพราะมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี และตัดสิทธิทางการเมืองถึง 20 ปี

2. การที่ กกต. ฟ้องดำเนินคดีอาญา แม้ยังอยู่ในขั้นกระบวนการยังไม่เสร็จสิ้น แต่ก็เป็นวัตถุดิบเพียงพอต่อเหล่า ส.ว. ที่ตั้งใจไม่เลือกพิธาเป็นนายกฯ ไม่ยกมือให้ โดยมีข้ออ้างแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ

3. การยกคำร้องคดีถือหุ้นสื่อ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ตายสนิท มีโอกาสฟื้นโดย ใช้ ส.ส. 50 คน หรือ ส.ว. 25 คน หรือยื่นโดย กกต.เองในฐานะความปรากฏ หลังจากการรับรอง ส.ส. โดยใช้สิทธิ ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ

4. อาวุธหนักต่างๆ กำลังลำเลียงสู่สมรภูมิสนามรบ และไม่จบแค่ ปืนต่อสู้อากาศยาน 151 แต่แพ้ชนะกลับอยู่ที่ฝ่ายเสนาธิการผู้วางแผน

'ทนายเดชา' มั่นใจ 'พิธา' รอดคดีถือหุ้นสื่อ 100%

สำนักข่าวไทย รายงานว่านายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายคลายทุกข์ วิเคราะห์ถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จะรอดจากคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีหรือไม่ว่า ส่วนตัวมั่นใจว่านายพิธารอดพ้นจากคดีนี้อย่างแน่นอน 100% เพราะปัจจุบันไอทีวีไม่ใช่สื่อแล้ว มีการยกเลิกสัญญาไปตั้งแต่ปี 2550 อีกทั้งเมื่อเทียบกับคดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อปี 2563 ในมาตรา 151 ตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง เพราะไม่มีพฤติการณ์และพยานหลักฐานใดที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาตั้งแต่แรก รู้อยู่แล้วว่ามีหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติ และมาสมัคร ส.ส. ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่ชัดเจนมาก เพราะการที่จะต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อกระทำโดยเจตนา ต้องมีพยานหลักฐานและพฤติการณ์ยืนยันได้อย่างชัดเจน โดยปราศจากข้อสงสัย จึงจะสามารถดำเนินคดีได้

นายเดชา ยังเน้นย้ำอีกว่าขนาดคดีของนายธนาธร มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพิกถอนสิทธิขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. อัยการสูงสุดยังสั่งไม่ฟ้อง ส่วนกรณีของนายพิธา ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเลย คดีนี้ตนมองว่าเร่งรัดเกินไป ยังไม่มีการรับรอง ส.ส. ยังไม่มีการร้องศาลรัฐธรรมนูญ และยังไม่มีคำวินิจฉัยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะมาเร่งรีบดำเนินคดีอาญา ในขณะที่ผู้สมัคร ส.ส. มีเรื่องร้องเรียนตั้งหลายร้อยเรื่อง ทำไมต้องมาเร่งรัดกับนายพิธาเพียงคนเดียว

ส่วนเรื่องการตีความว่าไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ เป็นหน้าที่ของศาลฎีกาและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในมุมของตนมองว่ากรณีดังกล่าวก็ต้องดูตามความเป็นจริง ไม่ใช่ดูตามตัวบทกฎหมาย หรือดูตามข้อมูลที่จดทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ต้องดูความเป็นจริงด้วยว่าไอทีวียังสามารถแพร่ภาพออกอากาศได้หรือไม่ ทำธุรกิจสื่อได้หรือไม่ ไม่ใช่ดูตามลายลักษณ์อักษรที่จดทะเบียนไว้เพียงอย่างเดียว ควรยึดหลักตามความเป็นจริง เพราะเราอยู่ในโลกของความเป็นจริง ตนจึงมั่นใจว่าสถานะของไอทีวีไม่ใช่สื่อ

ทั้งนี้ ควรใช้หลักการที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ว่าไอทีวีโดนยกเลิกสัญญาจาก สปน. ไปแล้ว แต่ยังมาตีความว่าเป็นสื่ออยู่ ถ้าเกิดการพิพากษาคดีที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมก็จะเกิดขึ้น เพราะศาลฎีกาก็เคยตีความไปแล้ว ขณะเดียวกันจำนวนหุ้นที่นายพิธาถือก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดจะไปครอบงำสื่อให้เสนอข่าวตามความต้องการของนักการเมืองได้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในเมื่อถือหุ้นแค่ 40,000 กว่าหุ้น จากที่มีทั้งหมดเป็นร้อยล้านพันล้านหุ้น ก็ไม่ได้สัดส่วนที่จะไปครอบงำกิจการได้อยู่แล้ว ตนจึงมั่นใจว่านายพิธารอดจากคดีนี้อย่างแน่นอน ยกเว้นนอกจากมีอภินิหารทางกฎหมายจากผู้มีอำนาจเกิดขึ้น

“ผู้สมัครที่ถูกร้องเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามีหลายร้อยเรื่องทำไมต้องมาเร่งรัดนายพิธารายเดียว และทำไมต้องเร่งรีบดำเนินคดีอาญา ทั้งที่ต้องรับรอง ส.ส. ก่อน หลังจากนั้นต้องไปร้องที่ศาลรัฐธรรมนูญ และรอการสืบพยานและก็วินิจฉัย มีคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้วถึงจะมาดำเนินคดีอาญา แต่คดีนี้ทำไมเร่งรีบจะดำเนินคดีอาญาทั้งที่ยังไม่มีการส่งศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีคำวินิจฉัยเลย อันนี้ก็เป็นคำถามที่สังคมเขาถามว่าจะรีบไปเพื่ออะไร มีความสุจริตเที่ยงธรรมไหม นี่คือคำถามที่ถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง”

‘เพื่อไทย’ รับห่วง ‘พิธา’ หลังกกต.มีมติตั้ง กก.ไต่สวน ม.151 แต่เชื่อเคลียร์ได้ทุกประเด็น

มติชนออนไลน์ รายงานว่าที่บริเวณ ATRIUM ZONE 2 ชั้น G ศูนย์การค้า Siam Center นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการและรักษาการโฆษกพรรค พท. และ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ว่าที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ร่วมกิจกรรมนิทรรศการ Diverscity Art Music Fashion

โดยนายประเสริฐ ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมกิจกรรมถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติตั้งกรรมการไต่สวนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และรู้ว่าไม่มีสิทธิแต่ยังฝืนลงเลือกตั้ง ตามมาตรา 42 (3) และมาตรา 151 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.นั้น ว่า จริงๆ แล้ว เรื่องนี้หากให้กรรมการไต่สวนของกกต. ได้ดำเนินการ เชื่อว่าไม่มีอะไร นายพิธาจะสามารถตอบคำถามได้เคลียร์ทุกประเด็น เพราะอยู่ระหว่างการดำเนินการขั้นต้น ในฐานะที่เป็นแกนนำร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วยกัน ก็ให้กำลังใจนายพิธาในการแก้ไขข้อกล่าวหาต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

เมื่อถามว่า แต่โทษค่อนข้างแรงเพราะเป็นโทษทางอาญา นายประเสริฐ กล่าวว่า โทษหนัก แต่ตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ยุติธรรมของกกต. ว่าจะดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรมกับนายพิธา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะมีความเป็นห่วงแต่ก็ให้กำลังใจ ส่วนความกังวลว่ากระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีอาจจะสะดุดหรือไม่นั้น เรื่องนี้เราไม่กังวล เชื่อว่านายพิธาสามารถผ่านพ้นตรงนี้ไปได้

เมื่อถามว่า จะกลายเป็นเงื่อนไขในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของส.ว.หรือไม่ เพราะกระบวนการยังไม่เสร็จ นายประเสริฐ กล่าวว่า ต้องดูผลของการไต่สวนก่อนว่านายพิธา และคณะกรรมการของกกต.มีข้อไต่สวนอย่างไร ขอให้รอดูนิดเดียว ตนคิดว่าคงไม่นาน เพราะการเลือกตั้งผ่านมาร่วมเดือนแล้ว อีกไม่นานจะมีการรับรองผลส.ส.ทั่วประเทศ

เมื่อถามว่า พรรคร่วมรัฐบาลต้องมีการคุยกันเรื่องนี้ก่อนหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า ประเด็นนี้ยังไม่ได้มีการคุยในวงพรรคร่วมฯ เพียงแค่คุยกรอบการทำงานร่วมกัน 14 คณะ ที่เราได้วางนโยบายด้านต่างๆ ไว้เท่านั้น ส่วนเรื่องนายพิธา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นไอทีวีหรือเรื่องมาตรา 151 ไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมา

เมื่อถามว่า แต่พรรค พท. มีสิทธิเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ขอดูก่อนและต้องพูดคุยกัน เพราะเราอยู่ร่วมกัน 8 พรรค ฉะนั้น ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น อยากให้การจัดตั้งรัฐบาลของพรรค ก.ก.ที่เป็นแกนนำสามารถจัดตั้งได้สำเร็จ

นายประเสริฐ กล่าวถึงกิจกรรมวันนี้ด้วยว่า เดือนนี้ถือเป็นเดือนแห่งการรำลึกของการต่อสู้เพื่อคนที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นงานที่น่าสนใจ โดยพรรค พท.ให้การสนับสนุนเรื่องนี้มาโดยตลอด รวมถึงสนับสนุนสมรสเท่าเทียม เมื่อสภาฯ เปิดเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกๆ ที่เราจะเข้าไปแก้ไข

'อรรถจักร์' ลั่น กกต.ตัดสินใจพลาด เตรียมรับผิด เจาะเกม 'สอยพิธา' ใช้ ม.151 เลี่ยงเทียบคดี-ลดกระแสต้าน

10 มิ.ย. 2566 ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เผยแพร่จดหมายถึงสังคมไทย เรื่อง ‘กกต. กับการ “หาทาง” ลงโทษที่เน้นสำนึกส่วนบุคคล’ โดยมีเนื้อหาความว่า

น่าเศร้าใจนะครับที่กระบวนการเคลื่อนเข้าสู่ประชาธิปไตยของสังคมไทยกำลังถูกทำให้ชะงักงัน และอาจจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ผมกำลังจะพูดถึงเกมส์การเมืองของ กกต. ที่ออกมาในรูปของการเน้นให้ความผิดของ คุณพิธา (ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30) นั้น กลายเป็นความผิดที่เกิดขึ้นจากสำนึกส่วนบุคคลของคุณพิธาเอง ตามมาตราที่ 151 การเลือกเน้นการพิจารณาข้อกล่าวหาคุณพิธา ในลักษณะเช่นนี้ จะทำให้ดูเสมือนว่า กกต.มีความชอบธรรมในการที่จะลงโทษคุณพิธา ผมคิดว่า กกต.คงจะประเมินว่าหากออกมาในลักษณะที่เป็นความผิดส่วนบุคคลและเป็นสำนึกของคุณพิธาเพียงคนเดียว น่าจะลดกระแสต่อต้านของมวลชนลงเพราะเป็นความผิดที่ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะส่วนตัวของบุคคลโดยแท้

ผมรู้สึกตงิดๆ ใจ อยู่ตั้งแต่เห็นหน้าบรรดา กกต.ที่โผล่มาทางโทรทัศน์ว่ามีลักษณะ “กระหยิ่มยิ้มย่อง” ก่อนการประกาศจะใช้มาตรา 151 และเป็นการ “รับเรื่องไว้พิจารณาเป็นความปรากฏ” ซึ่งหมายความว่า กกต.จะใช้อำนาจพิจารณาเรื่องนี้ก่อนส่งต่อไปยังศาลยุติธรรม อำนาจของการพิจารณาคดีพิธานี้ สังคมไทยจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมาตรา 151 นี้กำหนดบทลงโทษไว้สูงลิ่ว คือมีทั้งโทษจำคุก ปรับ และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งนานถึง 20 ปี

การที่เลือกมาตรา 151 นี้ ก็เพราะต้องการเลี่ยงการเปรียบเทียบกับคดีการถือหุ้นสื่ออื่นๆ ที่จะทำให้ผลการตัดสินเป็นคุณแก่กรณีคุณพิธา การใช้มาตรา 151 ก็เพราะหวังว่าจะใช้คดีของคุณสิระ เป็นตัวตั้งเพื่อเปรียบเทียบลงโทษ แต่ผมอยากจะบอกสังคมไทยว่า คดีของคุณสิระ กับคุณพิธามันคนละเรื่องกัน หาก กกต.เทียบเคียงเช่นนี้ ก็หมายความว่าต้องการเอาเรื่องคุณพิธาให้ได้นั้นเอง

การจะพิสูจน์ว่าคุณพิธารับรู้หรือไม่รับรู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติหรือไม่ ก็ต้องดูที่การดำรงอยู่ของ ITV ด้วยว่า ในสังคมขณะนั้น ITV มีสถานะอย่างไร หาก กกต. ไม่พิสูจน์ในจุดนี้ให้ชัดเจนและสังคมยอมรับได้เสียก่อน และกระโดดไปสู่การตัดสินการรับรู้หรือไม่รับรู้ของพิธาโดยเทียบเคียงกับ คดีคุณสิระ ผมเชื่อว่า กกต. ตัดสินใจผิด และต้องขอบอกว่า กกต.จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น

การเมืองของความหวังเรื่อง “ความเสมอภาคและยุติธรรม” ได้ถูกจุดและลามไปทุกมิติของสังคมแล้ว จะดับไฟแห่งความหวังของสังคมนี้อย่างมักง่ายไม่ได้หรอกครับ

พี่น้องทุกท่าน ขอช่วยกันจับตามองเพทุบายทั้งหลายของบรรดา “น้ำน้อย” ในสังคมไทย ที่พยายามดับไฟแห่งความหวังของพวกเรา และต้องช่วยกันเตือนสติพวกเขา (ที่คงเหลือน้อยนิด) ว่าพวกเขากำลังก่อให้เกิดวิกฤตทั้งสังคม

โศกนาฏกรรมของสังคมไทยหลีกเลี่ยงได้ หากยืนอยู่บน “ความยุติธรรม” ที่แท้จริง

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net