หลายฝ่ายแสดงความกังวลหลัง 'ธนาคารซิลิคอนวัลลีย์แบงก์' (SVB) ถูกทางการสหรัฐฯ สั่งปิดกิจการและอายัดทรัพย์สิน อาจส่งผลกระทบหนักต่อบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและผู้ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดที่ฝากเงินไว้

ที่มาภาพ: Silicon Valley Bank (CC BY-NC 2.0)

12 มี.ค. 2566 สำนักข่าวไทย อ้างรายงานข่าวต่างประเทศระบุว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกา (FDIC) สั่งปิดธนาคารซิลิคอนวัลลีย์แบงก์ (SVB) เมื่อวันศุกร์ (10 มี.ค.) ตามเวลาสหรัฐฯ เพื่อสกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลาม โดยรับประกันว่าทุกบัญชีจะได้รับเงินฝากคืนโดยเร็วตามวงเงินที่ได้รับความคุ้มครองบัญชีละ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 8.7 ล้านบาท) ส่วนเงินฝากที่เกินความคุ้มครองจะขึ้นอยู่กับว่าสามารถจำหน่ายทรัพย์สินของ SVB ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งส่วนใหญ่มักกินเวลานาน 

ทั้งนี้รายงานประจำปีล่าสุดของเอสวีบีเผยว่า เงินฝากทั้งหมด 173,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 6 ล้านล้านบาท) เป็นเงินฝากที่ไม่ได้รับความคุ้มครองมากถึง ร้อยละ 96 เว็บไซต์ของ SVB โฆษณาว่า เป็นหุ้นส่วนทางการเงินของเศรษฐกิจนวัตกรรม และเคยอ้างว่า เกือบครึ่งหนึ่งของบริษัทเทคโนโลยีและชีววิทยาศาสตร์ที่ได้รับทุนสนับสนุนในสหรัฐฯ ฝากเงินไว้กับธนาคารนี้

Y Combinator บริษัทให้คำแนะนำและสนับสนุนสตาร์ทอัพรายใหญ่ในสหรัฐระบุว่าผู้ฝากเงินคือเหยื่อที่แท้จริงของการปิด SVB ส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพที่มีพนักงาน 10-100 คน ซึ่งจะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนและจะต้องให้คนพักงานหรือลาออกในวันจันทร์นี้ (13 มี.ค.) เป็นอย่างเร็วที่สุด ช่วงเวลาแห่งนวัตกรรมของสหรัฐฯ กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะยุคสตาร์ทอัพอเมริกันทั้งยุคอาจถูกทำลายลงภายในเวลาเพียง 1-2 เดือน 

ด้าน บิล แอ็คแมน มหาเศรษฐีนักลงทุนเตือนว่าการล้มของ SVB อาจทำลายกลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เป็นกลไกสำคัญและระยะยาว ดังนั้นหากไม่สามารถหาทางออกด้วยเงินทุนเอกชน ก็ควรต้องพิจารณาเรื่องให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือ 

ทั้งนี้มีรายงานข่าวหลายกระแสระบุว่า SVB ได้หารือเรื่องขายกิจการให้ธนาคารหลายแห่งเมื่อวันที่ 9-10 มี.ค. แต่ยังไม่มีธนาคารใดตกลง