เครือข่ายฯ ยื่นหนังสือผ่าน กมธ.การมีส่วนร่วมฯ วิจารณ์รัฐบาลไทยรับมือโลกร้อนผิดวิธี ต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม ย้ำสังคมต้องช่วยจับตาการฟอกเขียวและทบทวนท่าทีรัฐบาลไทยในประชุมโลกร้อน
27 พ.ย. 2565 ณิชา เวชพานิช รายงานว่า วานนี้ (26 พ.ย.) ที่ห้องสมุดบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ เครือข่ายประชาชนห่วงใยต่อปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศยื่นหนังสือข้อเสนอ 11 ข้อถึงรัฐบาลไทยให้ทบทวนแนวทางรับมือโลกร้อน โดยยื่นหนังสือกับ ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล และประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานบางกอกบางสะพรั่ง
บรรยากาศการยื่นหนังสือ
ร้องสภาปรับแนวทางรับมือโลกร้อน
หนังสือระบุว่าที่ผ่านมา รัฐบาลไทยดำเนินแนวทางรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เอื้อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ให้สามารถ "ฟอกเขียว" เนื่องจากกลุ่มทุนใหญ่เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสำคัญ จึงต้องเข้าร่วมกลไกคาร์บอนเครดิตเพื่อหักลบต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม
ทว่าเครือข่ายฯ กังวลว่ากลไกดังกล่าวจะเบี่ยงเบนแนวทางลดโลกร้อนที่แท้จริง เช่น ลดการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และปรับรูปแบบเกษตรเชิงเดี่ยว นอกจากนี้ คาร์บอนเครดิตยังทำให้ไทยเร่งเพิ่มพื้นที่ป่า เสี่ยงเกิดการไล่รื้อชุมชนใกล้ป่า และซ้ำเติมความขัดแย้ง
ข้อเสนอ 11 ข้อต่อรัฐบาลไทยจึงมีใจความสำคัญเพื่อให้ไทยปรับแนวทางรับมือโลกร้อนให้มีส่วนร่วมกับประชาชนมากยิ่งขึ้น
"การยื่นหนังสือวันนี้คือหลักฐานว่านี้คือความต้องการของเรา นำเสียงของเราไปอยู่ในกระบวนการตัดสินใจมากที่สุด" ภูริณัฐ เปลยานนท์ ตัวแทนยื่นหนังสือจากประชาชนราวสองร้อยรายชื่อและหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่มเฟซบุ๊ก "การเมืองสิ่งแวดล้อม" กล่าว
นิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.พรรคก้าวไกล โฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หนึ่งในผู้ร่วมรับหนังสือเผยว่า ตนเป็นส.ส.คนเดียวในสภาที่พูดเรื่องความเสี่ยงเปิดให้กลุ่มทุน 'ฟอกเขียว' วิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีการตั้งคำถามมากนัก นอกจากนี้การดำเนินการเรื่องนี้ในภาคส่วนการเมืองยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลไกกฎหมายด้านโลกร้อนยังไม่มีชัดเจน มีเพียงกรมโลกร้อน ซึ่งปีนี้มีประกาศตั้งขึ้นใหม่ แต่ไม่แน่ใจว่าจะมุ่งเอื้อการฟอกเขียวอีกหรือไม่
"คำว่า ‘เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม’ นี้มองได้หลายแง่ นอกจากมีส่วนร่วมตัดสินใจในโครงการต่างๆ แล้ว จะต้องมีส่วนได้ประโยชน์จากโครงการแนวนี้ด้วย” นิติพล ย้ำ
บางขุนเทียน พื้นที่เสี่ยง “ฟอกเขียว”
เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นที่จัดกิจกรรมยื่นหนังสือและงานเสวนาวันดังกล่าวกำลังเผชิญปัญหาชายฝั่งพังทลายจากน้ำทะเลที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาตลอดสิบปี
โสภิณ จินดาโฉม ชาวบ้านและสมาชิกเครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน เล่าว่าตนและคนบางขุนเทียนมีอาชีพทำนากุ้ง แต่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ทำให้คันนาพังแล้วน้ำทะเลทะลักเข้านา สร้างความเสียหายหลายแสนบาท ปีนี้ระดับน้ำทะเลหนุนก็สูงเช่นกัน
ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยลองทำหลายวิธีเพื่อรับมือปัญหากัดเซาะชายฝั่งอ่าวไทย เช่น สร้างไส้กรอกทรายและทำกำแพงหินทิ้ง แต่ไม่ได้สรุปว่าแนวทางใดที่ได้ได้ประสิทธิภาพและดำเนินการต่อเนื่อง
นอกจากนั้น เขตบางขุนเทียนยังเป็นพื้นที่ป่าชายเลนผืนสำคัญในกรุงเทพฯ ซึ่งช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและยังมีศักยภาพดูดซับคาร์บอนได้มากกว่าปกติถึงสี่เท่า แต่นักวิชาการหลายคนกังวลว่าป่าชายเลนจะกลายเป็นพื้นที่ป่าเป้าหมายแรกที่กลุ่มทุนที่ต้องการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทำสัมปทานและขยายพื้นที่ เสี่ยงต่อการไล่รื้อชุมชน
เมื่อปลายเดือนตุลาคม กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้จัดสรรพื้นที่ดำเนินการปลูกป่าชายเลนเพื่อประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต ประจำปี 2564 แก่บริษัทเอกชน 17 ราย รวม 44,712.99 ไร่
ทบทวนท่าทีรัฐบาลไทยในประชุมโลกร้อน
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า นานาประเทศได้ตกลงร่วมเรื่องแนวทางรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศใหม่ครั้งประวัติศาสตร์ ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนความสูญเสียและความเสียหาย (Loss & Damage) ในการประชุมโลกร้อนสหประชาชาติ (COP27) ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ระหว่างวันที่ 6-18 พ.ย. 2565
กองทุนดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อให้ประเทศพัฒนาแล้วซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสำคัญ จ่ายเงินเข้ากองทุนเพื่อชดเชยผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้กลุ่มประเทศเปราะบาง เช่น ความเสียหายจากน้ำท่วมและไฟป่า
กองทุนดังกล่าวเป็น "ชัยชนะ" สำคัญสำหรับประเทศที่เผชิญความเสี่ยงสูงจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผลักดันโดยประเทศปากีสถานที่ปีนี้เผชิญเหตุน้ำท่วมหนักครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งประเมินว่าต้องใช้เงินกว่า 16 พันล้านเหรียญสหรัฐ (573.12 พันล้านบาท) เพื่อเยียวยาการคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน เกษตรกรรม บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาเช่นปากีสถานไม่มีทุนเพียงพอ
ด้านประเทศไทย หอการค้าประเมินว่าน้ำท่วมปีนี้ กินพื้นที่ 52 จังหวัด ทำเศรษฐกิจเสียหาย 1.2–2 หมื่นล้านบาท
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นคนทำให้โลกร้อนอันดับต้นของโลก แต่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนอันดับต้นๆ” สาคร สงมา ตัวแทนภาคประชาสังคมไทยที่เข้าร่วมประชุม COP27 ที่อียิปต์ กล่าว
จากการสำรวจประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนสิบอันดับแรกของโลกระหว่างปี 2543-2562 ของ German Watch พบว่าปากีสถานเป็นอันดับ 8 ของโลก ขณะที่ประเทศไทยติดอันดับ 9
แต่ระหว่างปี 2293-2564 ปากีสถานปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.3% ของโลก ขณะที่ประเทศไทยมีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกเพียง 0.45 % เท่านั้น
“ในการเจรจา ประเทศไทยต้องจัดกลุ่มตัวเองเป็นประเทศกำลังพัฒนาแล้วกดดันประเทศพัฒนาแล้วให้ใช้หนี้ ไปทวงเงินบาปจากประเทศที่ทำบาป เพื่อเอาเงินมาชดเชยเป็นกองทุนที่มีคนรับผิดชอบ”
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ไปร่วมประชุมมา เขามองว่า “ท่าทีเจรจาของประเทศไทยดูไม่เร่งร้อน ไม่เหมือนกับประเทศที่เจอผลกระทบจากโลกร้อนหนักๆ อย่างปากีสถานและฟิลิปปินส์”
ที่ผ่านมา ประเทศไทยมักเสนอโครงการรับเงินสนับสนุนจากต่างชาติในหมวดลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ราว 95% ขณะที่โครงการแนวปรับตัว (Adaptation) คิดเป็นสัดส่วนเพียงราว 15%
ในการประชุมปีนี้ วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นตัวแทนประเทศไทยขึ้นกล่าวถ้อยแถลงในการแก้ไขปัญหาโลกร้อนว่าไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% ในปี 2573 และจะเพิ่มพื้นที่ป่า 55% ในปี 2580
ก่อนหน้านี้ สหประชาชาติมีกองทุนสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนาเพื่อปรับตัวรับโลกร้อน ได้แก่ กองทุนสีเขียวโลก (Green Climate Fund) ซึ่งไทยได้ทุน 17.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (626.85 ล้านบาท) เพื่อบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเหนือ-กลาง
สาครซึ่งเป็นคนในพื้นที่โครงการ มองว่าแม้โครงการดังกล่าวจะเข้าข่ายช่วยเกษตกรไทยปรับตัว (Adaptation) แต่กลับไม่ได้ประสบความสำเร็จมากขนาดนั้น โดยยังเป็นการบริหารจัดการน้ำผ่านการสร้างคลองส่งน้ำซึ่งไม่ได้ทันสถานการณ์
“พอมีกองทุนความสูญเสียและความเสียหายใหม่แล้ว ประชาชนก็ต้องจับตาต่อว่าจะใช้ให้มีประสิทธิภาพไหม”
การประชุมโลกร้อน COP28 จะจัดขึ้นที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.-12 ธ.ค. 2566
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)