Skip to main content
sharethis

'ประยุทธ์' เปรียบตัวเองเป็น 'พระราม' 'เพื่อไทย' อภิปรายชี้ประชาชนเผชิญกับวิกฤต ‘แพง-จน-พัง ทั้งแผ่นดิน’ ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก หรือ ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกชีวิต ลมหายใจและอนาคตของตัวเอง ขณะที่ เลขาสภาฯ ชี้ภายใน 7 วัน เลื่อนลำดับ 'เศรษฐกิจใหม่' แทน 'มิ่งขวัญ' หลังประกาศลาออกกลางสภา

 

'เพื่อไทย' ย้ำ แพง-จน-พัง ทั้งแผ่นดิน

18 ก.พ.2565 ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จี้ นายกฯ ลาออก-ยุบสภา หลังบริหารประเทศไม่มีศักยภาพทำ "แพงจนพังทั้งแผ่นดิน" แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อปัญหา อาทิ ปัญหาเศรษฐกิจทรุด ประเทศเป็นหนี้, การใช้งบเงินกู้ที่ไม่เหมาะสม, ของแพง ค่าแรงถูก เป็นความผิดพลาดการบริหารต้นทุน ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่เกิดจากต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เป็นภาวะเงินฝืด ราคาเฟ้อ, ขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศย่ำแย่ มีการผูกขาดไม่สร้างโอกาสให้ประชาชน ทั้งยังใช้มิติทางการเมืองทำลายล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิ่งที่ชัดเจนคือการลดทอนอำนาจการปกครองตนเองของท้องถิ่น ใช้ฐานอำนาจท้องถิ่นต่อรองเข้าสู่อำนาจ ในทางลงโทษผู้บริหารท้องถิ่น เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ รวมถึงการสร้างธุรกิจการเมือง

โดยมีรายละเอียดที่ นพ.ชลน่าน อภิปราย ซึ่งเพจ 'พรรคเพื่อไทย' สรุปไว้ดังนี้ 

แฟ้มภาพ

ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างรุนแรงเข้าทำนอง ‘ข้าวของแพง ค่าแรงถูก’ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลวผิดพลาดในทุกด้านของรัฐบาลนี้ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ตกต่ำและทรุดตัวมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการยึดอำนาจจนถึงกาiบริหารของรัฐบาลปัจจุบันซึ่งเป็นรัฐบาลเดียวกัน มีการก่อหนี้สาธารณะสูงสุดเป็นประวัติการณ์จนต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะ ขณะที่หนี้ครัวเรือนของประชาชนและอัตราการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ก็สูงขึ้น

เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อกว่าสองล้านคนและเสียชีวิตกว่า 2 หมื่นคน ขณะที่มาตรการป้องกันและแก้ปัญหาก็ไม่มีความชัดเจนแน่นอนกลับไปกลับมายิ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ขณะที่รัฐบาลไม่มีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้รับความเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้าการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนก็ล่าช้าไร้ประสิทธิภาพ

ต่อมาก็เกิดการแพร่ระบาดของโรคระบาดในสัตว์ รวมทั้งเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกรด้วย ทำให้สุกรขาดตลาดและเนื้อสุกรมีราคาสูงขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่รัฐบาลกลับปกปิดข้อมูลการระบาดของโรคจนทำให้การแพร่ระบาดกระจายไปทั่วประเทศ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรได้รับความเสียหายและเดือดร้อนในวงกว้าง ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวกลับมีข้อมูลว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนรายใหญ่อันเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้กับประชาชน การแก้ปัญหาโรคระบาดทั้งในคนและสัตว์ขาดองค์ความรู้และภูมิปัญญา เน้นแก้ปัญหารายวัน ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลกระทบและความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่จะควบคุมและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ

ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหา PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี โดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม การแก้ปัญหาประมงล้มเหลวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการนับแสนราย

การปฏิรูปการเมืองตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติก็ไม่มีความคืบหน้าแม้แต่เรื่องเดียว เหตุเพราะรัฐบาลขาดความจริงใจที่จะปฏิรูปการเมือง เช่น เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้ระบบการเมืองไทยถอยหลังไปกว่า 40 ปี

การเลือกตั้งย้อนยุคไปสู่ระบบอุปถัมภ์และการใช้เงินเป็นหลัก การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลยังส่อไปในทางทุจริตหลายเรื่องที่ส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน จากรายงาน ของคณะกรรมาธิการวุฒิสภาและผลวิจัยจากภายนอกพบว่ารัฐบาลนี้มีการทุจริตสูงมาก ส่งผลทำให้อันดับการทุจริตคอร์รัปชันโลกของไทยสูงขึ้นซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติดที่แพร่ระบาดในประเทศอย่างกว้างขวางทุกพื้นที่และยังเป็นแหล่งส่งออกยาเสพติดรายใหญ่ไปยังหลายประเทศ จนทำให้ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายไปทั่วโลก

จึงถือได้ว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นวิกฤตของประเทศที่จะต้องมีการระดมความคิดเห็นและหามาตรการเพื่อจะแก้ปัญหาดังกล่าวให้ลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงมาตรการการชดเชยเยียวยาเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรและประชาชนผู้บริโภคที่ต้องรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นราคาสินค้า

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้นจึงเป็นกรณีที่มีความจำเป็นที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยจะได้ซักถามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสภาพปัญหาและหาแนวทางแก้ปัญหาของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าว และร่วมกันหาข้อสรุปเพื่อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อจะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงเป้าหมาย อันจะยังประโยชน์และลดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนต่อไป

ข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายชื่อท้ายญัตตินี้ ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรจึงขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พรรคฝ่ายค้านมีเป้าหมายที่จะซักถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นและเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในขณะนี้ประชาชนอยากรู้ว่าภายใต้การบริหารของรัฐบาลนี้เหตุใดชีวิตของเขาถึงต้องลำบากยากแค้น ทุกข์ยากแสนสาหัส ความหวังในการดำเนินชีวิตของเขาริบหรี่ ลูกหลานไม่มีอนาคต อีกทั้งเป็นปัญหาที่คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และไม่รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาจะต้องทำอย่างไร

ญัตตินี้เป็นญัตติที่จะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ ‘แพงทั้งแผ่นดิน จนทั้งแผ่นดิน พังทั้งแผ่นดิน’ จนพี่น้องประชาชนอาจต้องตายเกลื่อนทั้งแผ่นดิน ซึ่งเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ ความล้มเหลวจนปัญญาในการแก้ปัญหาและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จนสร้างปัญหาและภาระให้พี่น้องประชาชน ความผิดพลาดในการบริหารจัดการเงินกู้ การกู้เงินจำนวนมหาศาลแต่ไม่นำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ จนประเทศหนี้ท่วม ประชาชนหนี้ล้น จนถึงถึงวิกฤตงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณที่ไม่สอดคล้องเหมาะสม

ของแพงค่าแรงถูก เป็นความผิดพลาดในการบริหารต้นทุนการผลิต ส่งผลให้เกิดเกิดภาวะเงินเฟ้อ กลายเป็นปัญหาที่เรียกได้ว่า ‘เงินฝืด ราคาเฟ้อ’

ราคาน้ำมันที่แพงขึ่นอย่างมาก เป็นเพราะโครงสร้างการบริหารจัดการที่บกพร่อง วิธีคิดในการแก้ไขปัญหาที่ผิดพลาด และสถานการณ์ขณะนี้ รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาด้วยการเอาคนจนไปอุ้มคนรวย โยนภาระให้กับผู้ใช้น้ำมันเบนชินเพื่อแบกราคาน้ำมันดีเซล

ความสามารถในการแข่งขันของประเทศย่ำแย่มาโดยตลอด อันเนื่องมาจากกฎหมายไม่เอื้ออำนวยต่อการแข่งขัน มีการผูกขาดไม่เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน บริบทของประเทศไม่เอื้อต่อการลงทุน ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยต้องล้มหายตายจาก

ประเทศสูญเสียโอกาสอย่างมากในการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ นับตั้งแต่ยึดอำนาจ 2557 ไม่มีประเทศใดยอมรับและไม่มีใครเชื่อมั่นประเทศไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้เตรียมความพร้อมในการทำโครงสร้างขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถไฟความเร็วสูง แม้ในอดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะมีการวางแผนการดำเนินการเอาไว้แล้วแต่กลับถูกระงับยับยั้งและยกเลิกไป ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายโอกาสของประเทศและประชาชนครั้งสำคัญ

ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล รัฐบาลก็ทำให้ประเทศและประชาชนเสียโอกาสอย่ามาก แทนที่จะสร้างงานสร้างรายได้ สร้างโอกาส แต่กลับปล่อยให้กิจกรรมดิจิทัลเทคโนโลยี มีกลไกการโกง การหาประโยชน์จากระบบ อย่างเรื่องไฮบริด สแกม ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมาก

รายได้ของประเทศซึ่งเป็นความหวังเดียวของประชาชน คือ ภาคการท่องเที่ยว กลับล้มเหลวหดตัว แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างกับประเทศไทย

เกษตรกรจมทุกข์ ทั้งราคาพืชทางการเกษตรตกต่ำอย่างหนักและต่อเนื่อง ซ้ำร้ายรัฐบาลนี้ยังไม่กล้าบอกความจริงกับประชาชนและปกปิดการระบาดของโรคระบาดสัตว์ลัมปีสกิน แม้ฝ่ายค้านได้เสนอญัตติเรื่องนี้เข้าสู่สภา รวมไปถึงการตั้งกระทู้ถามสด แต่รัฐบาลก็ยังไม่ยอมประกาศเป็นโรคระบาด ถือเป็นความอ่อนด้อยและความผิดพลาดของรัฐาลอย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องชี้ให้เห็นว่า เรื่องนี้ใครคือผู้ได้ประโยชน์และใครเป็นผู้เสียประโยชน์

อีกทั้งผลสืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมารัฐบาลอาศัยเกาะโรคระบาดเพื่อการดำรงอยู่ พยายามเลี้ยงไข้และอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ แต่ผลจากการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ผิดพลาด การจัดหาและกระจายวัคซีนที่ล่าช้า ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนจนถึงวันนี้

ปัญหาการประมง การออก พรก.การประมง 2558 ในสมัยรัฐบาล คสช. เพื่อแก้ปัญหาใบเหลืองของไอยูยู แต่กลับก่อปัญหากับพี่น้องประชาชนอย่างมาก รัฐบาลออกกฎหมายนี้เพื่อปกป้องการส่งออกสินค้าประมงปีละ 5 พันล้านบาท แต่ได้ทำให้ผู้ประกอบการประมงเสียหายถึงปีละ 2 แสนล้านบาท อีกทั้งที่ผ่านมาพี่น้องชาวประมงพยายามเสนอกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แต่รัฐบาลก็ไม่ยอมอนุมัติให้เข้าสู่การพิจารณาของสภา

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลนี้ได้ทำให้การศึกษาล้มเหลว แต่ปัญหายาเสพติดกลับเฟื่องฟู จนพี่น้องประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เกิดเหตุ ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าแม่ หลานฆ่ายาย สังคมปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งหมด

วิกฤตการเมืองก่อปัญหาครบวงจร ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีต้นเหตุมาจากรัฐบาลไม่สนับสนุนการปฏิรูปการเมือง แล้วยังมีพฤติการณ์ทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย ทำลายระบบรัฐสภา ก่อเกิดธุรกิจการเมือง ทำให้สภาเสื่อมถอย มีการแจกกล้วยกลางสภา เป็นเหตุให้การปฏิรูปการเมืองล้มเหลว

รัฐบาลนี้เข้าสู่อำนาจด้วยการยึดอำนาจแล้วยังมุ่งสืบทอดอำนาจ และลดทอนอำนาจของประชาชน สร้างปัญหากับการกระจายอำนาจ โดยระงับการเลือกตั้งส่วนท้องถิ่น แล้วใช้ฐานอำนาจท้องถิ่นในลักษณะของการต่อรองเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในอำนาจ ขณะเดียวกันก็วางโครงสร้างอำนาจไว้ในรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจไม่ชอบธรรม เอื้อพวกพ้อง เห็นแต่ประโยชน์พวกพ้อง ไม่เห็นหัวพี่น้องประชาชน ระบบตรวจสอบบิดเบี้ยว บิดเบือนกลไกตรวจสอบ โดยเฉพาะระบบรัฐสภาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน

ผลพวงจากรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลได้เสียงข้างมากอย่างง่อนแง่น รัฐบาลมี 255 เสียง เกินกึ่งหนึ่งไปเพียง 5 เสียง แม้จะใช้กลไกที่ไม่ชอบธรรมทำให้ได้เสียงมาเพิ่มเป็น 275 เสียง แต่นั่นคือกับดักการเข้าสู่อำนาจ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสมือนดีแต่ท่านกำลังทำลายล้างประชาธิปไตย ซึ่งแสดงผลออกมาโดยสะท้อนจากเสถียรภาพของรัฐบาล หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมา องค์ประชุมที่เป็นหน้าที่ของเสียงข้างมาก คือ ฝ่ายรัฐบาล กลับไม่เคยถึงกึ่งหนึ่ง นายกรัฐมนตรีจะต้องตอบให้ชัดเจนว่าจะยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่โครงสร้างหรือไม่ รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายต่างๆ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลตีตกกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซ้ำยังอุ้มหายกฎหมายไปดองไว้ 60 วันอีกหลายฉบับ

ปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง แต่พฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี ยุค คสช. เป็นต้นมา ได้ใช้อำนาจพิเศษแบบเผด็จการมาตลอดโดยตลอด และส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน หากไม่แก้ไขอาจจะถึงขั้นพังทั้งแผ่นดิน ซึ่งเรื่องนี้ต้องแก้ไขที่ตัวนายกรัฐมนตรี

วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องเร่งแก้ไข จะต้องหยุดเลือดที่กำลังไหลออก หยุดทรมานพี่น้องประชาชน อย่างเร่งด่วน ก่อนที่พี่น้องประชาชนจะทุกข์ยากเดือดร้อนมากกว่านี้ และสิ่งที่จะหยุดได้ คือตัวนายกรัฐมนตรีเอง ด้วยการประกาศขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือถ้าจะแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ทันที คือ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน

ประยุทธ์เปรียบตัวเองเป็นพระราม

 

"ขณะนี้ผมทำหน้าที่เป็นยักษ์ ผมมีโอกาสได้สัมผัสได้พูดคุยกับท่านผมรู้สึก ภาพของท่านในขณะนั้นเป็นผู้ชายที่มีความอบอุ่นมาก รับผิดชอบ เมตตา แต่แปลกมาก เวลาท่านบริหารราชการแผ่นดินกลับไร้ซึ่งความเมตตา ไร้เยื่อใยต่อมนุษยชาติ ไร้จิตสำนึกที่เป็นมนุษยชาติต่อพี่น้องประชาชนคนไทย ด้วยวิธีการอย่างนั้นท่านคือตัวปัญหา เราได้นักบริหารราชการที่เป็นปัญหา จนสร้างปัญหาที่แพงจนพังทั้งแผ่นดิน" ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวทิ้งท้าย

สนุกดอทคอม รายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยกรามเกียรติ์ เปรียบฝ่ายค้านเป็นทศกัณฐ์ ตนพร้อมรับฟังด้วยเหตุผล อะไรที่ต้องนำไปแก้ไขก็จะดำเนินการ รัฐบาลพยายามดำเนินการมาตลอด

"เคยคุยกับท่านครั้งหนึ่ง ท่านเคยบอกว่าผมเข้ามาในสภาควรวางบทบาทให้เหมือนรามเกียรติ์ ผมเล่นในบทพระราม พระลักษณ์ ฉะนั้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องเล่นบททศกัณฐ์ ผมไม่ได้คิดว่าประเทศชาติจะต้องเป็นแบบรามเกียรติ์ แต่ท้ายที่สุดของเรื่องรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์เป็นอย่างไรในตอนท้ายก็รู้อยู่แล้ว" นายกรัฐมนตรี กล่าว

เลขาสภาฯ ชี้ภายใน 7 วัน เลื่อนลำดับ 'เศรษฐกิจใหม่' แทน 'มิ่งขวัญ' หลังประกาศลาออกกลางสภา

ผู้จัดการออนไลน์รายงานด้วยว่า วานนี้ (17 ก.พ.) มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายในญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ โดยระบุถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานของรัฐบาลที่ล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วงท้ายของการอภิปรายนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า 8 ปีก็เกินพอ หลายคนบอกให้นายกฯลาออก นายกฯที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่มา 3 ช่วงเวลา ตั้งแต่ พ.ค. ปี 57 ช่วง มี.ค.ปี 62 และยุคโควิด ปี 63 ถึงปัจจุบัน ตนถามคนไทยทั้งประเทศว่าจะ 8 ปีแล้ว เรามีความสุขหรือความทุกข์ ตนเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่ผ่านมา ตนมีเวลาหาเสียงไม่กี่ครั้ง และก่อนหน้านั้นประกาศจุดยืนว่า เราจะไม่ร่วมเป็นรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ ตนบอกแล้วว่า ถ้าให้พูดจะไม่พูดกลับไปกลับมา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจะถือว่าตระบัดสัตย์ ต่อมาที่ห้องแถลงข่าวของรัฐสภาก็มีข่าวลือ ทุกคนขอให้ตนลงไปแถลงข่าว ตนก็ลงไปแถลงข่าวด้วยสีหน้าไม่ดี ซึ่งผลออกมาประชาชนคงรู้ดี ไม่งั้นตนมายืนโดดเดียวโด่เด่อยู่คนเดียว เพราะรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ ส.ส.ไม่ต้องทำตามมติพรรค ทุกคนอยากอยู่ตรงไหนก็อยู่

“แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้เกิดศัพท์ขึ้นมาสองคำ คือ คำว่า งูเห่า และ ลิงกินกล้วยถ้าพูดภาษาชาวบ้านว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ผมเพิ่งเข้าใจคำแสลงนี้ชัดเจน วันนี้ผมขออภิปรายและไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ท่านไปทำอะไร หรือให้ใครไปทำอะไร พวกเขาเหล่านั้นจึงเปลี่ยนจุดยืน สัญญาที่ผมให้ไว้กับประชาชนไม่สามารถทรยศได้ สองปีกว่าผมไม่มีความสุขกับการทำงาน”

มิ่งขวัญ กล่าวต่อว่า ตนขอขอบคุณประธานสภา รองประธานสภา ทั้งสองคน ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ประเทศไม่ต้องเสียงบประมาณ ตนเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตนขอลาออกตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เขาเลื่อนลำดับขึ้นมาและคงมีความสุขด้วยซ้ำ ตนขอยื่นใบลาออก ยอมสละความเป็น ส.ส.ให้มันจบ เพราะตนขอให้พรรคเศรษฐกิจใหม่ขับตนออกจากพรรคแล้ว เนื่องจากอุดมการณ์ไม่ตรงกัน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือลูกน้องท่านไปทำอะไร พวกเราจึงเปลี่ยนจุดยืน และสิ่งสุดท้ายที่จะฝากถึงประชาชน คือ ตนยังคงทำกิจกรรมทางการเมือง และใช้องค์ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ทำงานให้ประชาชน สิ่งที่สำคัญที่สุดตนจะออกไปพิสูจน์ว่าแม้ตนจะไม่ได้เป็นรัฐบาล เรื่องความเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขหรือไม่ และตนจะออกไปเตรียมตัวเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ขณะที่ไทยโพสต์รายงานด้วยว่า พรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์เปิดเผยถึงขั้นตอนภายหลังจากมิ่งขวัญ ประกาศลาออกกลางสภาฯระหว่างการอภิปรายทั่วไป ว่า เมื่อสักครู่ ทางสำนักงานเลขาสภาฯ ได้รับหนังสือลาออกของมิ่งขวัญ เมื่อเวลา 17.32 น. โดยหลังจากนี้ ทางสำนักงานเลขาธิการสภาฯ จะนำเรื่องกราบเรียนนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เพื่อแจ้งเรื่องนี้ว่ามีสมาชิกขอลาออก ซึ่งมิ่งขวัญ ขอแจ้งความประสงค์ในการลาออกว่า ขอให้มีผลการลาออกจากส.ส. ในวันที่ 18 ก.พ.

อย่างไรก็ตามกรณีนี้เป็นการลาออกจากส.ส.บัญชีรายชื่อ กระบวนการต่อไป ก็ต้องมีการเลื่อนลำดับบัญชีรายชื่อของพรรคเศรษฐกิจใหม่ ขึ้นมาแทน ภายใน 7 วัน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคสอง

เผชิญกับวิกฤต ‘แพง-จน-พัง ทั้งแผ่นดิน’ ถึงเวลาแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก หรือ ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจเลือกชีวิต ลมหายใจและอนาคตของตัวเอง

นอกจาก นพ.ชลน่าน แล้ว รายงานจากเพจพรรคเพื่อไทย รายงานการอภิปรายของ ส.ส. อื่นๆ ด้วยดังนี้

8 ปีประยุทธ์ ทำประเทศมืด 8 ด้าน

จักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยฟื้นฟูช้าที่สุด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว หากนับตั้งแต่วินาทีแรกที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงวันนี้เป็น ‘8 ปี ที่มืด 8 ด้านกับรัฐบาลแห่งความสิ้นหวัง’

1. ความมืดแห่งพันธนาการ เปิดประเทศด้วยระบบแย่ จนไม่รู้ว่าระบบนี้เรียกว่า Test&Go หรือ Let Them Go กันแน่?

2. ความมืดของเงินกู้ พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ฉบับ 4 แสนล้านบาท อนุมัติไปแล้ว 3.2 แสนล้านบาท คิดเป็น 80 % ของเงินกู้ทั้งหมด แต่ผู้ประกอบการแทบไม่เคยได้เงิน

3. ความมืดของค่าครองชีพ ที่สูงขึ้นเสียจนประชาชนยุคนี้คิดจะหายใจยังเหนื่อย

4. ความมืดทางสิ่งแวดล้อม วิกฤตฝุ่น PM 2.5 เรื้อรัง รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ ปล่อยคนไทยตายผ่อนส่ง

5. ความมืดของสาธารณสุข จากระบบสาธารณสุขไทยที่ขึ้นชื่อระดับโลก แต่วันนี้แค่บริหารจัดการวัคซีนยังลอยตัวปล่อยปละละเลย

6. ความมืดของจำนวนนักท่องเที่ยว ปี 2564 นักท่องเที่ยวลดลงจากสถานการณ์ปกติ (ปี 2562) ประมาณ 93 เท่าหรือลดลง 99% อีกทั้งยังปรากฎอาชญากรรมที่แสดงให้เห็นความไม่ปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

7. ความมืดของรายได้จากการท่องเที่ยว ไม่มีนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการก็ไม่มีรายได้ ลูกจ้างตกงาน เด็กจบใหม่ไม่มีงาน

8. ความมืดแห่งความยั่งยืนด้านท่องเที่ยว ที่รัฐบาลไม่มีความพร้อม

วันนี้ภาครัฐเป็นฝ่ายทอดทิ้งภาคการท่องเที่ยวให้อยู่กันอย่างเดียวดาย ไร้การดูแลและส่งต่อภาระที่รัฐบาลสร้างไว้ให้พวกเขาแบกรับเพียงลำพัง

เร่ง ‘เปิดประตูมังกร’ หนองคาย เปิดไทยเชื่อมโลก

กฤษดา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย กล่าวว่า หากทำโพลถามภาพจำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในสายตาประชาชนอาจจบตั้งแต่คำถามแรก เพราะไม่มีผลงานที่น่าจดจำแม้แต่อย่างเดียว ย้อนกลับไป 9 ปี ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้เตรียมดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 ล้านล้าน ประชาชนกำลังมีความหวัง ที่เชื่อมต่อไปยังเวียงจันทน์ และคุนหมิง หากทำตั้งแต่วันนั้น วันนี้คงแล้วเสร็จไปแล้ว และนี่คือความผิดพลาดมหันต์ของรัฐบาลนี้ที่ไม่มีความพร้อมจนคนไทยต้องเสียโอกาส

ลาวใช้เวลา 4 ปีสร้างรถไฟความเร็วสูง 400 กิโลเมตร ขณะที่ไทยใช้เวลา 2 ปีกว่าสร้าง 3 กิโลเมตร และรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ทำให้เศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านเติบโตขึ้นอย่างมาก ขณะนี้มีคำถามว่า ไทยพร้อมหรือไม่ที่จะเชื่อมต่อกับโลก แต่หากรัฐบาลยังบริหารแบบนี้เขาอาจจะลืมประเทศไทยไปเลยก็ได้ และหลายโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นเหมือนรัฐบาลไทยไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดขึ้นในโลก หลายโครงการไม่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ แม้แต่โครงการอีอีซี ก็สวนทางกันไปหมด หากรัฐบาลยังบริหารแบบไม่รู้ทิศทางแบบนี้ต่อไป ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นหนี้มากขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางก็ล้มหายตายจาก ตายแล้วตายอีก

วันนี้โลกกำลังแข่งขันด้านเศรษฐกิจ เราต้องการผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ วันนี้จึงอยากเสนอให้รัฐบาลรีบเชื่อมเวียงจันทน์ กับชายแดนไทยที่จังหวัดหนองคายก่อน รีบสร้างสะพานแห่งที่ 2 และสะพานรถไฟภายใน 1-2 ปีนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสินค้าไทยที่จะส่งออกไปจีน รวมทั้งเจรจา 3 ฝ่ายไทย จีนและลาว เพื่ออำนวยความสะดวกการลำเลียงสินค้า

วันนี้ชายแดนไทยที่จังหวัดหนองคายกำลังเป็นประตูมังกร ต้อนรับจีนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้เปิดประตูเพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน โดยที่ต้องรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนและเกษตรกรได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไร พร้อมผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อใช้โอกาสนี้ในการช่วยเหลือประชาชน หากไม่เข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไรก็ควรจะลาออกจากตำแหน่งไปตั้งแต่วันนี้

Thailand Land of SCAM ดินแดนแห่งกลโกง

ศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย ชี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไร้ความสามารถ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง กลับกันมีแต่สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ และไม่คุ้มครองประชาชน แม้จะมีกรอบวงเงินวางไว้มากกว่า 3,000 ล้านบาทอยู่ก็ตาม

สังเกตได้จากการที่รัฐมีระบบโครงสร้างดิจิทัลที่อ่อนแอ จนเกิดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนเป็นจำนวนมหาศาล อีกทั้งยังเป็นการหลุดข้อมูลในส่วนของภาครัฐ เช่น TCAS หรือ โรงพยาบาลของภาครัฐเอง ส่งผลให้มีประชาชนจำนวนมากได้รับความเสียหายและมีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 250 ล้านบาท

น่าเศร้ากว่านั้นผู้ได้รับความเสียหายยังไม่เคยได้รับการดูแลจากภาครัฐ จนอาจกล่าวได้ว่าถูก ‘ทิ้งไว้กลางทาง’ ไม่มีการช่วยเหลือหรือติดตามคดีให้แก่ผู้เสียหาย จนไม่อาจกล่าวได้อีกต่อไปว่าประเทศไทยตอนนี้คือ ‘Thailand Land of Smile’ แต่กลับกลายเป็น ‘Thailand Land of SCAM’ เสียมากกว่า

ลอยแพประชาชน เผชิญอาชญากรรมไซเบอร์

สุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา ส.ส.กทม. ระบุว่า ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ในปัจจุบันมีทั้งการโจรกรรมข้อมูล ส่งข้อความ SMS ปลอมเพื่อหลอกลวงผู้ใช้โทรศัพท์โอนเงิน หรือใช้เทคโนโลยีดูดเงินออกจากบัญชีธนาคารออนไลน์ จนมีผู้ตกเป็นเหยื่อมากกว่า 1,600 คน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงประเทศ

ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำจะพบว่าคดีอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์เพิ่มสูงขึ้น อาชญากรยุคใหม่มีความรู้จะใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลอกลวงผ่านแอปพลิเคชันสารพัดวิธี หลอกลวงคนสร้างความผู้เสียหายทั่วประเทศ เป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะต้องแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์นี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (กสทช.) ต้องตอบให้ชัดว่ามีนโยบายอย่างไรในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่ไม่ใช่การปราบปรามที่ปลายเหตุ ทำไม่ไม่หาทางป้องกันแต่เริ่มต้น และทำไมต้องกลายเป็นภาระของประชาชนที่จะต้องระมัดระวังและเผชิญกับปัญหาเองลำพัง

น้ำมันแพง ค่าไฟแพง แพงทั้งแผ่นดิน

กิตติกร โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง ชี้ว่า ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตของแพงทั้งแผ่นดิน ราคาน้ำมันสูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นด้วย ขณะนี้มีข่าวว่า รัฐบาลมีแนวคิดที่จะปรับค่าเอฟที ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น ซึ่งจะทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนมากขึ้นอีก แม้จะมีความจำเป็น เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงจากพลังงานต่างๆ สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาเรื่องจำนวนไฟสำรองที่ประเทศไทยมีสูงมากในปัจจุบัน มาช่วยทำให้ค่าไฟลดลง แม้จะต้องใช้เวลาก็ต้องดำเนินการเพื่ออนาคต สำหรับค่าเอฟที ขณะนี้รัฐบาลพยายามตรึงราคาไว้ แต่หลักๆ คือเรื่องเชื้อเพลิงที่ควรพิจารณาให้เหมาะสม ซึ่งยังมีเชื้อเพลิงอีกหลายตัวที่ราคาเฉลี่ยต่ำกว่าต้นทุนค่าไฟ อาทิ ถ่านหิน ที่อาจช่วยดึงค่าเอฟที ให้ลงมาได้ สำหรับในส่วนของพลังงานทดแทน ต้นทุนยังแพงอยู่ สำหรับการส่งเสริมเอฟที รัฐบาลควรมีมาตรการส่งเสริมที่ชัดเจน รวมทั้งการพิจารณาทำโครงการนำร่อง กับรถโดยสารสาธารณะในเมือง หรือการให้หน่วยงานราชการปรับใช้รถอีวีในการนำร่อง ส่งสัญญาณกับพี่น้องประชาชนถึงการเปลี่ยนแปลง

รัฐบาลโกง ประชาชนจน ประเทศเจ๊ง ทางออกเดียวคือประยุทธ์ต้องลาออกหรือยุบสภา

ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส. เชียงใหม่ อภิปรายด้วยท่าทีเรียบเฉยแต่เปี่ยมไปด้วยพลัง เล่าถึงความล้มเหลวของรัฐบาลประยุทธ์จันทร์โอชา โดยเริ่มกล่าวว่าตลอด 8 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ ประชาชนไม่เคยเห็นความสามารถของนายกรัฐมนตรีเลย ก่อนการรัฐประหาร ประชาชนเฝ้ารอรถไฟฟ้าความเร็วสูง แต่กลับได้รถถังแทน

ถึงทุกวันนี้รัฐบาลทำเศรษฐกิจตกต่ำ แพงทั้งแผ่นดิน พังทั้งแผ่นดิน แพงจนพัง แพงทุกอย่าง สินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันรถแพง น้ำมันปาล์มก็แพง ทุกวันนี้ตลาดมีคนขายมากกว่าคนซื้อ

เมื่อน้ำมันแพงก็ส่งผลถึงราคาสินค้า ราคาเฟ้อแต่เงินฝืด กำลังซื้อลดลง ถ้าเศรษฐกิจดีราคาสินค้าขึ้นจะไม่มีผลมากนัก แต่ตอนนี้เศรษฐกิจประเทศเราดิ่งเหวชะลอตัวอย่างมาก สินค้าที่ขึ้นราคาจึงเป็นการซ้ำเติมประชาชน รัฐบาลต้องผลักดันเศรษฐกิจให้พัฒนาและฟื้นขึ้น ทัศนีย์กล่าวว่านายกรัฐมนตรีไม่เชียวชาญเรื่องเศรษฐกิจพูดอะไรมั่วไปหมด จึงอยากทราบว่าพลเอกประยุทธ์อ่านตำราเล่มใด จะซื้อแล้วเอาไปเผาทิ้งให้หมด จะได้ถือว่าไม่เป็นการส่งองค์ความรู้ที่ผิดพลาด แต่มีหนึ่งสิ่งที่นายกรัฐมนตรีถนัดคือ คนเฟ้อ จ่ายซื้อคนด้วยกล้วยที่เฟ้อมาก

การท่องเที่ยวพัง ทัศนีย์ยกตัวอย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่พึ่งพาอุตสหกรรมท่องเที่ยวกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ แต่สถานที่ท่องเที่ยวกลับเงียบสนิท ถนนนิมมานเหมินทร์เงียบจนบางวันสามารถนั่งสมาธิได้ สวนเสือปางช้างค่าอาหารสัตว์ยังไม่มีเลย และยังอีกหลายธุรกิจที่ยังไม่ได้พูดถึง

ทัศนีย์สรุปการอภิปรายได้ว่า รัฐบาลโกง ประชาชนจน ประเทศเจ๊ง ทางออกเดียวที่นำเสนอ คือขอให้นายกรัฐมนตรีเลิกทำตัวเป็นบัวใต้น้ำ ยอมรับความจริงว่าตัวเองไร้ประสิทธิภาพ โดยทัศนีย์ได้เตรียมจดหมายลาออกให้กับนายกรัฐมนตรีไว้เรียบร้อย รอเพียงแค่พลเอกประยุทธ์เซ็นต์เท่านั้น ถึงจะหยุด ความพังของประเทศ

หนี้สาธารณะเกือบ 10 ล้านล้านบาท แต่คนไทยกลับจนลง

วิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ส.ส.ศรีสะเกษ ชี้ว่ารัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศด้วยการกู้เงิน กระทรวงการคลังรายงานวา่ ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะใกล้เต็มเพดานหนี้ 60% รัฐบาลก็ขยายเพดานเงินกู้ไปเป็น 70% ขณะนี้่ประเทศมีหนี้สาธารณะเกือบ 10 ล้านล้านบาท แต่ประชาชนคนไทยกลับจนลง รัฐบาลต้องตอบประชาชนให้ได้ว่าเมื่อไรประเทศไทยจะจะหมดนี้ และเมื่อไรคนไทยจะหายจน อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาคนจนกลับเพิ่มมากขึ้น คนว่างงานตกงานก็สูงขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เศรษฐกิจประเทศถดถอย นักลงทุนต่างประเทศไม่กล้าลงทุน จำนวนการลงทุนจากเดิมที่ 2 ล้านล้าน เหลือเพียงไม่กี่หมื่นล้านบาท ประชาชนไม่มีรายได้ แต่ละวันไม่มีรายรับมีแต่รายจ่าย

รัฐบาลสัญญาหาเสียงลวง

ชนก จันทาทอง ส.ส. หนองคาย อภิปรายประเด็นราคาสินค้าเกษตรตกต่ำชนิดที่ชาวนาขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เก็บเกี่ยว อธิบายก่อนว่าวันนี้เกษตรไทยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 63 มีจำนวนกว่า 8 ล้านราย กว่าครึ่งในจำนวนนี้คือชาวนา พรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำของรัฐบาลเคยหาเสียงไว้ว่า ราคาข้างต้องอยู่ที่กิโลกรัมละ 18,000 บาท แต่กว่า 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เห็นเลยว่ารัฐบาลจะทำตามนโยบายได้ ทำไม่ได้ไม่พอ แต่ยิ่งอยู่ ราคาสินค้าเกษตรยิ่งตกต่ำ ค่าครองชีพ-ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคยิ่งสูงขึ้น

ชนกยังตั้งคำถามที่ประชาชนฝากมาถามพลเอก ประยุทธ์ ผ่านประธานสภาว่า ทำไมข้าวที่คนไทยต้องกิน 3 มื้อต่อวันถึงราคาถูก แต่ค่าปุ๋ย น้ำมันเชื้อเพลิง แก๊สหุงต้ม เนื้อหมู ไข่ไก่ และอื่นๆ กลับขึ้นเอาๆ ไม่แปลกใจว่าทำไมสังคมจึงยิ่งเหลื่อมล้ำสูง ก็เพราะการเมืองมีแต่เอื้อนายทุน

คำถามที่ฝากถาม ทำไมข้าวที่คนไทยกิน 3 เวลา ถึงราคาถูก แต่ค่าปุ๋ย น้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส เนื้อหมู ขึ้นราคาได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราเหลื่อมล้ำสูง เพราะการเมืองเอื้อต่อนายทุน อีกหนึ่งคำถามก็คือ นโนบายประกันราคาข้าว เป็นประโยชน์ต่อชาวนาหรือเป็นเพียงการนำเงิน ‘เข้ากระเป๋าซ้าย ออกกระเป๋าขวา’ กันแน่

จากหมอชนะ ไทยชนะ สู่หายนะและมรณะทั้งประเทศ

ชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส. อุบลราชธานี อภิปรายความล้มเหลวของรัฐบาล โดนเน้นให้นายกรัฐมนตรี ตาสว่างมองเห็นปัญหาสังคม และค้นพบว่าตัวเองคือปัญหาของประเทศนี้ ตลอดเวลา 25 ปีของการเป็น ส.ส. ต่อให้รวมเงินกู้จากทุกนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เท่า ลุงตู่นักกู้แห่งอาเซียน

จากการบริหารประเทศมา 8 ปี ส่งผลให้เกิด คนจนมากขึ้นถึง 20 ล้านคน ความสงบจบที่ลุงตู่จริงๆ คนไทยมีปัญหาในทุกมิติ บ้านแตกซาแหรกขาด ยาเสพติดระบาด ค่าครองชีพสูงรายได้ต่ำ เป็นการบริหารประเทศแบบมองไม่เห็นคนจน หากเปรียบเทียบประเทศเป็นต้นไม้ สิ่งที่ต้องทำคือการรดน้ำที่ราก ทำให้คนที่อยู่ร่างสุดแข็งแรง ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแข็งแรง แต่พลเอกประยุทธ์กลับรดน้ำแต่ที่ใบ ไม่ลงไปถึงราก มีแต่นโยบายช่วยเจ้าสัว แล้วหวังว่าคนรวยจะมาช่วยคนจนซึ่งไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

รัฐบาลประยุทธ์ทำคนติดโควิด 2,000,000 คน เริ่มจาก หมอชนะ ไทยชนะ หายนะ มรณะ ฝากถึงพลเอกประยุทธ์ให้ลาออก ให้ประชาชนไทยได้ตัดสินใจในชีวิตของตัวเอง ว่ายังจะอยากมีผู้นำเป็นใครและมีชีวิตอย่างไร

เร่งกฎหมายประมง ช่วยพี่น้องประมงเดือดร้อน

พรเทพ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เสนอรัฐบาลรีบนำร่าง พ.ร.บ.การประมง ทั้ง 5 ร่างเข้าสภา เพื่อคืนชีวิตชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายประมงฉบับประยุทธ์ เล่าว่ากว่า 8 ปีแล้วที่พี่น้องเกษตรกรชาวประมงได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมาย พ.ร.ก. การประมง พ.ศ. 2558 ที่ใช้เพื่อการแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (IUU Fishing) แต่กลายเป็นว่ากฎหมายฉบับนี้กระทบต่อชาวประมงเป็นจำนวนมาก ชาวประมงจำนวนมากต้องหยุดเดินเรือเพราะไม่มีเงินเพียงพอที่จะปรับปรุงเรือให้เป็นไปตามมาตรฐานที่วางไว้ หลายรายต้องเลิกกิจการ ทั้งยังส่งผลให้ประเทศสูญเสียรายรายได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 200,000 ล้านบาท

ขอยืนยันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา โดยการนำร่างพ.ร.บ. การประมง ทั้ง 5 ฉบับ (อ่านที่นี่: https://bit.ly/3rlvy7k) เข้าไปหารือในสภา ย้ำว่าเป็นร่างกฎหมายที่พรรคเพื่อไทยจัดทำโดยคุยกับชาวประมงอย่างรอบด้านและทำด้วยความเข้าใจปัญหา โดยหากไม่เร่งแก้ไขปัญหา จะสูญเสียเม็ดเงินหลายแสนล้านบาท ชาวประมงจะไม่สามารถกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกเลย

วิกฤตน้ำขาดแคลน เกษตรกรความทุกข์ยาก

นพพล เหลืองทองนารา ส.ส. พิษณุโลก บอกเล่าตนมาในฐานะผู้แทนของพี่น้องชาวเกษตรกรกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ โดยตั้งคำถามว่า พลเอกประยุทธ์มองประชาชนชาวเกษตรกรอยู่ในลำดับไหนของชั้นสังคม เพราะตลอดที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์มักไม่เคยจริงจังต่อการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจและวิกฤตเกษตรเลยสักครั้ง ‘ให้ทหารปลูกผักชี’ หรือ ‘ให้ขายข้าวที่ดาวอังคาร’

“ท่านพลเอกประยุทธ์ล้อเล่นกับชีวิตคนเป็นล้านได้อย่างไร”

นพพล ยังตั้งคำถามไปยังกรมชลประทาน ที่ยังไม่สามารถแก้ไขวิกฤตขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรได้ แม้ในยุทธ์ศาสตร์ชลประทาน 2560 - 2564 จะเขียนชัดเจนว่า ความจุน้ำสำหรับการทำเกษตรจะต้องเพิ่มปริมาณความจุตลอด 5 ปี แต่ความจริงกลับปรากฎว่ากรมชลประทานกลับทำไม่ได้ตามเป้าที่วางไว้ แต่กลับได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี

สุดท้ายนี้นพพลยังทิ้งท้ายทวงถามถึงเรื่องเงินชดเชยจากการน้ำท่วมที่ยังไม่ประชาชนหลายครัวเรือนยังได้ไม่ครบ

7 ปีแห่งการปฏิรูปเกษตรล้มเหลว สิ้นหวัง ไร้ความหวัง

เอกชัย ทรงอำนาจเจริญ ส.ส.อุบลราชธานี อภิปรายประเด็นความล้มเหลวด้านการปฏิรูปเกษตรตลอด 7 ปีที่ผ่านมา การปฏิรูปและดำเนินนโยบายทางเกษตรที่ทำให้ราขาข้าวตกต่ำที่สุด การส่งออกข้าวลด หมูแพงที่สุดในโลก หมูและวัวติดโรคโดยที่รัฐบาลละเลยปกปิดความจริงไม่เร่งดำเนินการ ค่าปุ๋ยดีดตัวสูง เป็นการปฏิรูปที่ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมเลย ชีวิตเกษตรกรมีแต่ตกต่ำ สิ้นหวัง ไร้ความหวัง

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net