กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) ออกแถลงการณ์จี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออก เปิดทางให้ 'รัฐบาลสร้างชาติ' เข้าบริหารประเทศ พร้อมจี้ให้รัฐบาลเร่งสะสางปัญหาทุจริตให้เสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน
19 พ.ค. 2564 วันนี้ เวลา 14.00 น. กลุ่มประชาชนคนไทย (ปท.) นำโดย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, นิติธร ล้ำเหลือ, พิชิต ไชยมงคล, โกศล รักษ์ประชาไท และภิมะ สิทธิ์ประเสริฐ จัดงานแถลงข่าว “วาระประชาชน : หยุด 3 ป. โมเดลแก้ทุจริตแห่งชาติ” ที่ห้องประชาชนคนไทย ชั้น 3 อาคารพญาไทพลาซ่า โดยระบุว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตได้นับตั้งแต่การยึดอำนาจเข้ามาเมื่อปี 2557 ทั้งยังมีการเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องของตนตลอดระยะเวลา 7 ปีที่บริหารประเทศมา พร้อมกล่าวว่าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตตามที่ประกาศว่าเป็นวาระแห่งชาติได้ภายใน 1 เดือน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้ 'รัฐบาลสร้างชาติ' เข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ
ด้าน ชาญชัย ผู้นำการแถลงการณ์ในวันนี้ กล่าวว่า ตนเคยนำเอกสารผลการพิพากษาในคดีทุจริตสำคัญหลายคดี รวมมูลค่าความเสียหายที่เกิดแก่รัฐสูงถึง 450,000 ล้านบาทไปยื่นแก่นายรัฐมนตรีตน แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ชาญชัย ระบุว่าเงินเหล่านี้คือเงินแผ่นดินที่ต้องเอาคืนกลับมา และนำมาแก้ไขปัญหาโควิด-19 พร้อมเรียกร้องให้องค์กรอิสระทั้งหมดที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องลาออก เพราะที่ผ่านมา ไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างโปร่งใส แต่ใช้กลไกการตรวจสอบที่เอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง และเรียกร้องให้มีการตั้งองค์กรอิสระชุดใหม่เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ทั้งนี้ ชาญชัย ระบุว่าตนยินดีสนับสนุนนายกรัฐมนตรีทุกคนที่ตั้งใจปราบปรามการทุจริต ไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ และวันพรุ่งนี้ (20 พ.ค. 2564) ตนจะเดินทางไปยื่นเอกสารให้นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง โดยภายหลังการแถลงข่าว ชาญชัย และนิติธร ได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ “วาระประชาชน : หยุด 3 ป. โมเดลแก้ทุจริตแห่งชาติ” ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้
หนึ่งในเหตุผลหลักของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 คือ การปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ฝังรากลึกในประเทศ แต่ผ่านมาแล้ว 7 ปี ภาพลักษณ์ด้านการทุจริตของประเทศไทย ภายใต้การนําของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับตกตกด่ำดิ่งลงอย่างหนัก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศให้ การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ” ถือเป็นหลักหมุดที่ตอกย้ำความล้มเหลวในภารกิจสําคัญนี้ เป็นการประกาศซ้ำซากมากกว่า 10 ครั้ง ในรอบ 7 ปี ที่ครองอํานาจ
“กลุ่มประชาชนคนไทย” ขอย้ำว่า แท้จริงแล้ว “วาระแห่งชาติ” ที่สําคัญที่สุดในเวลานี้ คือ การที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสียสละลาออกเพื่อเปิดทางให้รัฐบาล “สร้างชาติ” เข้ามาแก้ไขปัญหา “การทุจริตประพฤติมิชอบ” ที่บั่นทอนศักยภาพของประเทศให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในการประกาศครั้งล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า “มุ่งสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต รวมทั้งความละอายต่อการทุจริตประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ ตลอดจนสร้างจิตสํานึกและค่านิยม ในการปฏิเสธไม่ยอมรับการทุจริตอย่างสิ้นเชิง"
แต่พล.อ.ประยุทธ์ กลับไม่มีความละอาย และมองข้ามปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบที่อยู่ภายใต้รัฐบาลเองทั้งสิ้น
ละอายหรือไม่ ? กับการยึดอํานาจด้วยการรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองและพวกพ้อง บอกว่าขอเวลาอีกไม่นาน แต่เกาะเก้าอี้ไม่ยอมปล่อย
ละอายหรือไม่ ? กับการออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอํานาจ ตั้งพรรคการเมืองเพื่อเข้าสู่อํานาจผ่านการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญที่เขียนให้ตนเองได้เปรียบ ใช้กลไกในรัฐธรรมนูญให้ ส.ว. ที่ คสช. เป็นผู้แต่งตั้ง เลือกตนเองกลับมาเป็นนายก
ละอายหรือไม่ ? กับการเลือกบุคคลที่มีประวัติทุจริตประพฤติมิชอบจากการค้ายาเสพติดข้ามชาติมาเป็นรัฐมนตรี และเมื่อทราบว่าผิดจริง กลับปล่อยให้ดํารงตําแหน่งต่อไป
ละอายหรือไม่ ? กับการแต่งตั้งเป็นบุคคลที่ถูกร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. หลายกรณีเป็นรัฐมนตรี แล้วใช้อํานาจเอื้อให้เกิดโครงการนิคมอุตสาหกรรม เพื่อประโยชน์ให้นายทุนปิโตรเคมี และเอื้อประโยชน์จากการซื้อขายที่ดินมูลค่ามหาศาลให้กับเครือญาติ
ละอายหรือไม่ ? กับการที่หัวหน้าพรรคแกนนํารัฐบาลใส่แหวนวงใหญ่ นาฬิกาหรูหลายสิบเรือน แต่อ้างเป็นแหวนของแม่ ส่วนนาฬิกายืมจากเพื่อนที่ตายแล้ว ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน
ละอายหรือไม่ ? กับความไม่โปร่งใสของคดี “บอส กระทิงแดง” ที่การเปลี่ยนสํานวนคดี บุคคลใกล้ชิดกับรัฐบาลอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง และเอื้อต่อการหลบหนี
ละอายหรือไม่ ? กับการอยู่อาศัยในบ้านหลวงใช้น้ำประปาและไฟฟ้าฟรี เป็นการ "รับประโยชน์อื่นใด" โดยหลบเลี่ยงกฎหมาย ป.ป.ช. มาตลอด 7 ปี
ส่วนเรื่องที่รัฐบาลต้องละอายใจที่สุด คือ กลไกรัฐที่ พล.อ.ประยุทธ์ กํากับบัญชาการ เป็นตัวการสําคัญทําให้ “โควิด-19” แพร่ระบาดถึง 3 ระลอก จนทําให้ประชาชนต้องเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อีกทั้งต้องเจ็บป่วยถึงขั้นล้มตายมากขึ้น อันเนื่องมาจากการบริหารบ้านเมืองที่บกพร่อง ผิดพลาด จากกรณีสนามมวย เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบจากกรณีบ่อนการพนัน การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และความหละหลวมหย่อนยานให้เปิดอัครสถานบันเทิง
หากย้อนไปเมื่อปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในงานต่อต้านคอร์รัปชันสากลว่า “การคอร์รัปชัน ไม่ใช่แค่ให้เงินให้ทอง แต่มีในลักษณะการเอื้อประโยชน์ต่อกัน” กรณีนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนนั้น คือความจริงที่สวนทางกันกับคําพูด
อีกทั้งยังมีพฤติกรรมน่ากังขาอีกมากมายที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์ได้กระทํา เช่น การเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุน การใช้อํานาจโดยมิชอบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทั้งไม่ถูกต้องทั้งกฎหมายและไม่สง่างามในจริยธรรมทางการเมือง เป็นบทพิสูจน์ว่า เสาค้ำยันให้กับการทุจริตในประเทศไทยก็คือระบอบอํานาจนิยม ระบบอุปถัมภ์เส้นสาย ภายใต้เครือข่ายของระบอบประยุทธ์นั่นเอง
“กลุ่มประชาชนคนไทย” แถลงไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ที่ต้องออกมารณรงค์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเสียสละลาออกเพื่อเปิดทางให้รัฐบาล “สร้างชาติ” เข้ามาแก้ไขวิกฤติ เหตุเนื่องมาจากในยามวิกฤติโรคระบาด ขบวนการ 3 ป. ในระบอบประยุทธ์กลายพันธ์เป็นขบวนการ “ปกปิด การปล้น แสวงหาผลประโยชน์"
ที่สําคัญคําประกาศล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นซ่อนเงื่อนงํา โดยทอนความเหลือเพียง “การทุจริต” เพื่อลับลวงพรางตบตาประชาชน ส่วนการประพฤติมิชอบ และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งรวมการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วย ถูกด้อยค่าลงไป ทําให้ขจัดการคอร์รัปชันของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ถูกรัฐบาลชุดนี้ลอยแพ เป็นวาระแห่งชาติที่ได้มาตรการรองรับ
ดังนั้นหากจะให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะปราบทุจริตเป็นวาระแห่งชาติอย่างจริงจัง จักต้องมีมาตรการที่ชัดเจนรองรับความผิดและแก้ไขปัญหาของ “การประพฤติมิชอบ" ด้วย
“กลุ่มประชาชนคนไทย” จึงขอให้รัฐบาลเร่งจัดการกับนักการเมืองที่พัวพันการทุจริต ประพฤติมิชอบให้ออกจากตําแหน่งทันที ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงหากมีเรื่องพัวพันกับการทุจริต ต้องให้พักราชการไว้ก่อน
กรณีการทุจริตประพฤติมิชอบ ที่รัฐบาลชุดนี้ปกป้องอยู่ ต้องดําเนินการชําระสะสางให้เสร็จ ภายในเวลา 1 เดือน โดยผู้ถูกร้องต้องแจ้งที่มาของทรัพย์สินหรือรายได้ หากแจ้งที่มาไม่ได้ให้อายัด ทรัพย์สินนั้นไว้ตรวจสอบเพื่อยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน
การเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจการเมืองและตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่ในเครือข่ายระบอบประยุทธ์ต้องถูกตรวจสอบ และทบทวนสัญญาสัมปทานของระบบสาธารณูปโภคที่พี่น้องประชาชนกลับเป็นฝ่ายต้องมาแบกรับภาระในช่วงเวลาอันยากลําบากนี้
นายกรัฐมนตรีต้องสอบสวนโครงการจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ ที่รัฐบาลนํางบประมาณไปจัดซื้อ ได้ปริมาณน้อยลง เนื่องจากต้องจ่ายในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง จนทําให้ประชาชนเข้าไม่ถึงยาเป็น เหตุให้เสียชีวิต ตลอดจนเร่งรัดให้องค์การเภสัชกรรมดําเนินการให้ได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ในประเทศโดยเร็วเพื่อขจัดขั้นตอนการหาผลประโยชน์
“กลุ่มประชาชนคนไทย” ขอย้ำว่าการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันให้สําเร็จต้องอาศัยภาคประชาชนที่เข้มแข็ง ตื่นตัว และกลไกภาครัฐที่ทํางานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยให้การตัดสินใจ ผูกพันกับความรับรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน จนเป็น “วาระประชาชน” เพื่อ ปกป้อง-ประโยชน์-ประเทศ อย่างแท้จริง
เชื่อมั่นในพลังประชาชน
19 พฤษภาคม 2560
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)