Skip to main content
sharethis
องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรสิทธิมนุษยชนในไทย เรียกร้องผู้นำ 'สหราชอาณาจักร-ฝรั่งเศส' แสดงออกต่อสาธารณะว่าไม่สนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทุกรูปแบบภายในการบริหารประเทศของ คสช.
 
 
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พบหารือกับนางเทรีซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2561 (ที่มาภาพ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล)
 
22 มิ.ย. 2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, มูลนิธิศักยภาพชุมชน และกลุ่มโรงน้ำชา (TEA group) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรและประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส ลงวันที่ 19 มิ.ย. 2561 โดยระบุว่าตามที่ได้รับข่าวว่าท่านในฐานะผู้นำของสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่จะพบปะและต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ของประเทศไทยในวันที่ 20-25 มิ.ย. 2561 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นอดีตผู้บัญชาการกองทัพบกที่นำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 และจัดตั้งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารรัฐบาลเผด็จการทหารมาเป็นกว่า 4 ปี
 
แม้หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้ว แต่อำนาจเบ็ดเสร็จของหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวยังคงอยู่จนถึงปัจจุบันนอกจากนี้ แม้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะรับรองสิทธิเสรีภาพไว้ในบทบัญญัติ แต่การใช้อำนาจที่มุ่งสนองเป้าหมายความมั่นคงของรัฐดังกล่าว ก็ดำรงอยู่เหนือสิทธิเสรีภาพของบุคคล โดยกำหนดให้รัฐสามารถอ้างความมั่นคงของรัฐที่มีลักษณะเป็นถ้อยคำกว้างๆ และเปิดโอกาสให้ใช้ดุลพินิจเข้าแทรกแซงสิทธิเสรีภาพของบุคคลได้ตามอำเภอใจ ในขณะเดียวกันคุณภาพชีวิตของประชนไทยลดลงอย่างน่าใจหาย จากรายงานของ Oxfam ในปี 2559 ความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซีย และอินเดีย ขยับขึ้นจากอันดับที่ 11 ของโลกในปี 2558 ในชั่วโมงทำงานที่เท่ากัน โดยเฉลี่ยผู้ชายจะได้ค่าตอบแทน 100 บาท ผู้หญิงได้ค่าตอบแทน 87 บาท นอกจากนี้จำนวนคนจนและคนเกือบจนประมาณ 11.6 ล้านคนในปี 2559 นั้น คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 6 ของประชากรทั้งหมด ทั้งยังเพิ่มจานวนขึ้นจาก 10.4 ล้านคนในปี 2558 (ร้อยละ 15.5 ของประชากรทั้งหมด) และจำนวนคนจนในปี 2559 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ถึงเกือบ 1 ล้านคน และคิดเป็นอัตราเพิ่มสูงถึงร้อยละ 19.8
 
แม้ว่าประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะสหภาพยุโรปมีความเห็นเชื่อไปว่าโรดแม๊ปเลือกตั้งของไทยมีความชัดเจน หากแต่คำมั่นสัญญากับประชาคมโลกเรื่องการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาลไทยภายใต้การปกครองแบบเผด็จการกลับเป็นสัญญาเลื่อนลอยสำหรับประชาชนไทย การเลื่อนกำหนดการเลือกตั้งออกไปหลายต่อหลายครั้ง และความไม่แน่นอนด้วยเงื่อนไขกฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองที่ดูเหมือนเป็นข้ออ้างของการสืบทอดอานาจต่อไป
 
เราในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนมีความกังวลอย่างยิ่งกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในประเทศไทยที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ามาบริหารกิจการภายในประเทศ ประเด็นที่ 1. การตัดสินใจของรัฐบาลไทยในการยุติการพักการประหารชีวิตในทางปฏิบัติด้วยการประหารชีวิต นักโทษเด็ดขาดหนึ่งราย (ขอสงวนชื่อนามสกุล) อายุ 26 ปี ผู้ต้องขังในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณ โหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2555 โดยการฉีดยาพิษ หลังจากได้มีการประหาร ชีวิตด้วยการฉีดยาสารพิษครั้งสุดท้ายเมื่อเดือน ส.ค. 2552 ทั้งที่เหลือเวลาอีกเพียง 14 เดือน ที่ประเทศไทยจะได้รับการยอมรับว่าได้พักการประหารชีวิตในทางปฏิบัติติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ทำให้ประเทศไทยพลาดโอกาสได้รับการประกาศว่าเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ ทั้งนี้การยกเลิกโทษประหารชีวิตเป็นเจตจำนงที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการแม่บทว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ที่จะออกกฎหมายให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในท้ายที่สุด ประเด็นที่ 2. การจับกุมกลุ่มอยากเลือกตั้งและผู้เห็นต่างทางการเมืองแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ไม่จริงใจทั้งต่อประชาชนชาวไทยและประชาคมโลก การจับกุมดำเนินคดีกับกลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง” ซึ่งเป็นการแสดงออกทางการเมืองที่มีเหตุผลเพื่อกระตุ้นเตือน คสช. ให้ซื่อสัตย์ต่อคำมั่นสัญญาที่ให้แก่ประชาชน ทั้งการชุมนุมก็ดำเนินการให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และเป็นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธซึ่งชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นับตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน พ.ค. 2561 มีผู้ถูกดำเนินคดีจาก 10 คดีแล้วอย่างน้อย 132 คน
 
ประเด็นที่ 3. รัฐบาลเผด็จการได้มีคำสั่ง ประกาศ ที่ส่งผลให้มีการใช้อำนาจเผด็จการต่อการบริหารราชการทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคม นโยบายที่ดิน การจัดสรรทรัพยากร นอกจากนี้ เพื่ออ้างความชอบด้วยกฎหมายในการกระทำดังกล่าว พบว่า คสช. ออกคำสั่งแล้ว 208 ฉบับ ประกาศ คสช. 128 ฉบับ ส่วนหัวหน้า คสช. ใช้ำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. แล้วกว่า 188 ฉบับ ประกาศและคำสั่งของคณะรัฐประหารเหล่านี้ถูกทำให้มีผลบังคับใช้อยู่ แม้ คสช. จะพ้นจากอำนาจไปและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วก็ตาม หากไม่มีกระบวนการยกเลิกกฎหมายเหล่านี้เกิดขึ้น ประเด็นที่ 4. ความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนใต้ กองกาลังติดอาวุธ ความเสียหายทางชีวิตและทรัพย์สินติดต่อยาวนานมาเป็นเวลากว่า 14 ปี มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนกว่า7000คน บาดเจ็บนับหมื่นคน รัฐบาลภายใต้การนำของทหารอนุมัติงบประมาณจำนวนกว่าสามแสนล้านบาทเน้นการปราบปรามการก่อความไม่สงบต่อกลุ่มผู้ต้องสงสัยติดอาวุธโดยใช้ความรุนแรงด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงติดอาวุธจำนวนกว่า 60,000 นาย ลงไปในพื้นที่ทำให้มีการใช้อาวุธขนาดเล็กจำนวนมากในพื้นที่ที่มีประชากรอยู่อย่างค่อนข้างหนาแน่นและส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูมุสลิมที่ตกเป็นผู้สงสัยในการก่อความไม่สงบ หน่วยงานความมั่นคงใช้การทรมานอย่างเป็นระบบและกฎอัยการศึกในการดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและมีปัญหาการเข้าถึงความยุติธรรมของประชาชนจนไม่สามารถนาคนผิดมาลงโทษ โดยเฉพาะการทรมานผู้ต้องสงสัย การบังคับให้สูญหายและการเสียชีวิตกว่า 400 กรณีที่ต้องสงสัยว่าการเสียชีวิตโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อีกทั้งเด็กอายุต่ำกว่า18ปี จำนวนคนกว่า 250 คน และผู้หญิงกว่า450 คนเสียชีวิตจากการยิงรายวันและการใช้ระเบิดในพื้นที่สาธารณะ
 
ประเด็นที่ 5. รัฐบาล คสช.ออกคำสั่งและประกาศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมทั้งที่ดิน ป่าไม้ เหมืองแร่ และแหล่งน้ำ โดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็น และขาดกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย คำสั่งและประกาศเหล่านี้ เช่น นโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” คำสั่ง คสช. ที่ 64/2557 และ 66/2557 คำสั่ง คสช.ที่ 17/2558 เรื่อง การจัดหาที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎหมายว่าด้วยการผังเมืองและกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 31/2560 เรื่องการใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์ ต่างส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชนในพื้นที่ และประเด็นที่ 6. นับตั้งแต่ปี 2557 มีเกษตรกรรายย่อย ผู้นำชุมชน และชาวบ้านจำนวนมากถูกดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งด้านที่ดินและป่าไม้ คำสั่งที่ 64/2557 ให้อำนาจทหาร ตารวจ และฝ่ายปกครอง เป็นผู้นำภารกิจตรวจยึดที่ดินที่ชาวบ้านทำการเกษตรอยู่ จากที่เดิมปฏิบัติการแบบนี้นำโดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และคาดว่าจะต้องมีการอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ป่าทั้งหมด 1,253 พื้นที่ รวม 8,148 หมู่บ้าน ข้อมูลจากแค่สองจังหวัดคือแม่ฮ่องสอนหลังใช้คำสั่งที่ 64/2557 ระหว่างเดือน มิ.ย. 2557- ก.ค. 2560 มีคดีเกิดขึ้นทั้งหมด 1,003 คดี เฉลี่ยปีละ 334.3 คดี มีผู้ถูกจับกุมดำเนินคดี 136 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ชาวบ้านในชุมชนห้วยน้ำหิน จังหวัดน่าน ถูกสั่งห้ามใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกิน ทำให้สูญเสียรายได้ และชาวบ้าน 298 ราย ถูกแจ้งข้อหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ทั่วทั้งประเทศมีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐเป็นจำนวนมากถูกดำเนินคดีแล้วในข้อหามีไม้ไว้ในครอบครองมากกว่า 500 คดี ถูกไล่รื้อออกจากพื้นที่ทำกินและพื้นที่อยู่อาศัย พืชผลทางการเกษตรถูกตัดฟันทำลาย ถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพ เช่น ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ควบคุมตัวไว้ในค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติ เรื่องทรัพยากร หลังจากรัฐประหารมีผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนจากชุมชนและพื้นที่ชนบทกว่า 220 คน ที่ถูกคุกคามโดยการใช้กระบวนการยุติธรรมฟ้องร้องและกลั่นแกล้งจากการที่พวกเธอปกป้องสิทธิชุมชน สิทธิในที่ดินและสิทธิเสรีภาพในการรวมตัวและแสดงออก 
 
ทั้งนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม, ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, มูลนิธิศักยภาพชุมชน และกลุ่มโรงน้ำชา (TEA group) มีข้อเรียกร้อง คือ 1. ให้นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรและประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศสแสดงออกต่อสาธารณะว่าไม่สนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทุกรูปแบบภายในการบริหารประเทศของ คสช. 2. ให้เรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ยกเลิก กฎหมาย ประกาศ คำสั่ง และนโยบายต่างๆ ของคสช.ทุกฉบับ ที่มีสาระและการบังคับใช้ซึ่งละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนของไทย ตามที่กำหนดไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และตราสารสิทธิมนุษยชนฉบับอื่นๆ เช่น อนุสัญญาต่อต้านการทรมาน ให้ยุติการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มบุคคลที่ใช้เสรีภาพของตนเองโดยสุจริตในการวิพากวิจารณ์รัฐบาล หรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง กลุ่มประชาชนที่อยากเลือกตั้ง และคดีอื่นๆ ที่ดำเนินคดีกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทุกคน
 
3. ให้เรียกร้องต่อรัฐบาลไทยให้ยุติการใช้ความรุนแรงและปฏิบัติการทางทหารในสามจังหวัดชายแดนใต้ในลักษณะที่ละเมิดต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเร่งสืบสวนสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เช่น การทรมาน การบังคับบุคคลให้สูญหาย และการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมารับผิดชอบ เร่งให้การช่วยเหลือเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง และผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน 4. ให้เพิ่มมาตรการกดดันรัฐบาล คสช.ให้จัดการเลือกตั้งที่โปร่งใส ยุติธรรม และเสรีโดยเร็ว โดยให้มีผู้สังเกตการณ์จากองค์กรภาคประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามอย่างใกล้ชิด กดดันให้คสช ยุติการกระทา ทั้งทางกฎหมาย นโยบายและการปฏิบัติการที่จา กัดสิทธิ เสรีภาพคุกคาม ข่มขู่และละเมิดสิทธิของประชาชน สื่อมวลชน พรรคการเมืองและกลุ่มประชาสังคมที่รวมตัวและแสดงออกตามวิถีทางประชาธิปไตย และปกป้องนักนักปกป้องสิทธิมนุษยชนตามที่เคยประกาศไว้กับสหประชาชาติและชุมชนระหว่างประเทศ และ 5. ยุติการดำเนินคดีต่อชาวบ้านทุกคนที่เกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งในการจัดการที่ดินและทรัพยากร มุ่งให้มีการเลือกตั้งและให้ประชาชนในพื้นที่และผู้ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดและปฏิบัตินโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ดิน ป่าไม้ เหมืองแร่ และแหล่งน้ำ ในทุกขั้นตอน
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net