Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

ตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การจับกุมประชาชนที่ออกมาแสดงสัญลักษณ์และทำกิจกรรมต่อต้านการทำรัฐประหาร และถูกนำตัวไปอย่างไม่ทราบที่หมายเป็นจำนวนมาก ในบางกรณีเจ้าหน้าที่ของคณะรัฐประหารนำตัวประชาชนหายไปโดยญาติ พี่น้อง เพื่อนของพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถทราบชะตากรรม รวมไปถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนี้เช่นเดียวกัน เมื่อหญิงสูงวัยท่านหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่เชิญตัวออกไป หลังจากที่เธอสวมเสื้อที่มีข้อความว่า “Respect My Vote” มาทำบุญที่วัดสระปทุม ดูเหมือนว่าบรรยากาศการเผชิญหน้าในวันครบรอบ 1 เดือนของการยึดอำนาจจะไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งในภาวะที่กฎอัยการศึกยังถูกใช้อย่างเข้มงวดและไม่รามือ

เมื่อเวลาบ่าย 3 โมง ผมกับเพื่อนอาสาสมัครสังเกตการณ์ฯ 2 คน และเพื่อนที่ไม่ได้เป็นอาสาสมัครฯ อีก 1 คน รวมทั้งหมด 4 คน ได้ไปรอสังเกตการณ์กิจกรรมการทานแซนวิชต้านรัฐประหาร ของกลุ่มศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ( ศนปท.) โดยพวกเราทราบข่าวจากการติดตามการประชาสัมพันธ์กิจกรรมจากการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต เมื่อเราไปถึงพบว่าในพื้นที่เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ ทั้งที่เป็นผู้หญิงและเป็นผู้ชาย ซึ่งคอยจับจ้องผู้คนที่มีทีท่าจะออกมาร่วมกิจกรรม แน่นอนเราทั้ง 4 ไม่สามารถรอดพ้นสายตานับร้อยนั้นไปได้ สิ่งเหล่านี้สามารถประเมินได้อย่างง่ายดายหากคุณอยู่ตรงจุดนั้นและมีเจ้าหน้าที่พยายามแต่งตัวกลมกลืนกับฝูงชนที่มาเดินห้างในวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่หากเราพิจารณาการแต่งกาย เสื้อผ้า หน้าผมและบุคลิกอย่างเอาใจใส่เราก็สามารถแยกออกได้ว่าใครคือเจ้าหน้าที่ของคณะรัฐประหาร

นอกจากนี้ภายนอกอาคาร นักข่าวอยู่ประปรายนั่งใต้ร่มไม้รอบอาคารทั้งห้างสยามพารากอนและสยามแสควร์ ตลอดจนตามสถานีรถไฟฟ้า พวกเขายืนประจำการอย่างเป็นระเบียบและมีการเรียกแถวสลับกับผ่อนคลายตามสบายในทุกๆ 30 นาที ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวและแดดส่องแรงในเดือน 6 ของปี พวกเราอาสาสมัครนั่งรอจนเมื่อถึงเวลาประมาณสี่โมงเย็น เรายังไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากสังเกตเห็นประชาชนจำนวนหนึ่งที่มารอทำกิจกรรม หากประเมินด้วยสายตา จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนดูจะมีจำนวนมากกว่าคนที่มีทีท่าจะออกมาทำกิจกรรมอยู่พอควร ผมจึงพยายามเข้าไปคุยหาข้อมูลจากนักข่าวและช่างภาพจำนวนหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มสนทนากันอยู่ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่มีลักษณะเป็นผู้บังคับบัญชา โดยสังเกตได้จากบุคลิกและข้อมูลที่นำเอามาเล่าให้คนที่อยู่ในกลุ่มสนทนาฟังว่า ขณะนี้มีนักศึกษาถูกคุมตัวออกไปจากร้านไอสครีมที่ห้างสยามพารากอน 3 คน โดยเป็นการพาตัวออกไปจากร้านและมีนักข่าวต่างชาติยืนยันว่าเพื่อนเขาเห็นด้วยตัวเองอย่างชัดเจน แต่ไม่สามารถถ่ายภาพไว้ได้ และคาดว่าขณะนี้นักศึกษาจะอยู่ที่ สน.ปทุมวัน เมื่อกลับมาปรึกษากับเพื่อนอาสาสมัครฯ เราจึงตกลงที่จะให้ผมเป็นผู้ตามนักศึกษาไป ผมจึงได้แยกตัว จากกลุ่มเพื่อไปตามการจับกุมดังกล่าว ที่ สน.ปทุมวัน โดยเป็นการติดตามตัวตามกติกาที่ได้ตกลงจากการฝึกอบรมอาสาสมัครกันไว้ โดยมีเพื่อนๆที่เหลือได้ทำหน้าที่สังเกตการณ์กันต่อที่บริเวณลานน้ำพุ ซึ่งการไปของผมใช้วิธีนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างจากหน้าสยาม ไปที่ สน. ปทุมวัน

เมื่อไปถึงสถานี ผมได้เดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจตรงที่ห้องสายสืบ ถึงสถานที่คุมตัวนักศึกษา ณ ขณะนี้ ตำรวจได้บอกกับผมว่า “ไม่แน่ใจว่าทหารเอาไปไหนแล้ว” ผมจึงไปถามเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และทราบว่าถูกคุมตัวไปที่ห้องสืบสวนฯ ซึ่งอยู่ชั้นที่ลึกมาก ต้องลัดเลาะเข้าไปจากด้านหน้า สน. พอสมควร (แต่ถ้าหากใครเคยไปที่ สน.ปทุมวันจะทราบดีว่า สน.มีทางเข้าได้หลายทาง) และเมื่อไปถึงจะเห็นได้ว่าห้องที่ใช้สอบปากคำมีลักษณะที่มิดชิดพอสมควร ต้องมีการสแกนลายนิ้วมือ และเมื่อผมเดินไปถึงหน้าห้องสืบสวน ก็พบว่ามี เจ้าหน้าที่ทหาร 3 นาย เฝ้าอยู่ด้านนอกห้อง สวมเครื่องแบบเต็มยศ 2 นาย และนอกเครื่องแบบ 1 นาย เมื่อไปถึงผมได้ยกมือไหว้สวัสดีทหาร ทหารที่ดูอาวุโสที่สุดในนั้นถามผมว่า “มาทำอะไร”ผมตอบว่า “มาติดตาม สังเกตการณ์นักศึกษาที่ถูกจับ 3 คนครับ” เขาถามต่ออีกว่า “มาจากไหน” ผมจึงตอบว่า “มาจากพารากอนครับ”

ก่อนที่ทหารจะถามต่อว่า “คุณสังกัดหน่วยงานไหน มีหน้าที่อะไร” ผมจึงบอกไปว่า “ผมเป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์การชุมนุม” ทหารต้องการจะค้นตัวผมและกระเป๋า เขาขอดูบัตรประชาชน โดยเข้ามาประชิดตัว ผมจึงยื่นบัตรอาสาสมัครสังเกตการณ์ให้ทหารดูแทน เขาพยายามถ่ายรูปไว้และอีกคนถ่ายรูปผมไว้ ในขณะที่อีกคนก็พยายามบอกว่า "ไม่มีอะไรไม่ต้องเป็นห่วง"  หลังจากนั้นทหารพยายามถามชื่อและขอดูบัตรประชาชนอีกครั้ง ซึ่งผมปฏิเสธที่จะให้ โดยทหารบอกว่า "ถ้าไม่ให้แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าคุณมีตัวตนอยู่จริง" โดยที่ผมได้ตอบกลับไปว่า ทหารสามารถใช้รูปที่ถ่ายไว้ค้นหาชื่อผมได้อย่างสบาย โดยเฉพาะภายในสถานการณ์เช่นนี้ เขาพยายามถามว่า อาสาสมัครนี้สังกัดหน่วยงานไหน ผมจึงตอบไปว่าศูนย์สันติวิธีและสิทธิมนุษยชน ม.มหิดล และถามว่าผมเป็นนักศึกษาหรือไม่ ? ผมเลยตอบว่าใช่ครับ และอยู่ มหา’ลัยไหน ผมตอบว่าเป็นนักศึกษาของธรรมศาสตร์ เขาจึงมีท่าทีผ่อนปรนและปล่อยให้ผมนั่งรอต่อไป

ขณะที่นั่งรออยู่ตรงนั้น ทหารก็พยายามพร่ำบอกกับผมว่า "ไม่มีอะไร เราแค่จะพาพวกเขาไปปรับทัศนคติ" ผมได้แต่นิ่งเงียบถ่ายรูปและจดบันทึกรายละเอียดไว้ โดยพยายามมองเข้าไปในห้องซึ่งเป็นประตูกระจกยาว 1 ฟุต ผมมองเข้าไปในห้องเห็นมีนักศึกษาถูกคุมตัว ณ ขณะนั้นอยู่ 5 คน และมีเจ้าหน้าที่ทำการสอบปากคำอย่างเคร่งเครียดจากการประเมินด้วยสายตา มีประมาณ 10 นาย ซึ่งดูเหมือนว่าในฝ่ายเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมากกว่าทหาร ขณะที่ทหารจะมีคำสั่งให้ทำอย่างไรต่อมากกว่าที่จะดำเนินการซักกลุ่มนักศึกษาด้วยตัวเอง โดยเป็นการพิจารณาจากการนั่งฟังการสนทนาหน้าห้องสืบสวน

ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่ข้างนอกห้องสอบปากคำ ทหารก็พยายามบอกกับผมว่า ไม่มีอะไรหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง เราแค่เอาเขามาปรับทัศนคติ ซึ่งเป็นประโยคซ้ำไปซ้ำมา เมื่อผมนั่งไปและพยายามถ่ายรูปและบันทึกรายละเอียดที่พอจะหาได้บ้าง มีน้องนักศึกษาคนหนึ่งเดินมาพร้อมเจ้าหน้าที่ทหาร และเดินเข้าไปที่ห้องสืบสวน หลังจากนั้นผมจึงเลือกที่จะเดินออกมาข้างนอกเพื่อที่จะแจ้งรายละเอียดให้พี่นักข่าว ผมได้โทรไปหาพี่ นักข่าว เมื่อเสร็จแล้วผมเดินกลับไปเพื่อที่จะดูว่า ทหารจะพานักศึกษาไปที่ไหน เนื่องจากมี กรณีที่เจ้าหน้าที่คุมตัวหายไป โดยไม่ทราบที่หมายเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่การยึดอำนาจได้เริ่มขึ้น ทหารเหมือนจะสังเกตสีหน้ากังวลของผมออกได้ ด้วยประสบการณ์ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา การจับกุมชาวบ้านธรรมดาของเจ้าหน้าที่คณะรัฐประหารมีแนวโน้มที่ไม่สู้ดีนัก

ขณะที่ผมกำลังนั่งนึกว่าจะทำอย่างไรต่อดี ก็มีทหารคนหนึ่งเดินออกมา สั่งลูกน้องว่า “ให้เอาเด็กที่ตามมาอีก ไปให้หมด” ลูกน้องถามว่าคนไหน ทหารคนนั้นบอกว่า “เอาไปให้หมด” หลังจากเห็นสถานการณ์ไม่ดีผมเลยเดินออกมาโทรศัพท์หาพี่นักข่าว และออกมาซื้อกาแฟกระป๋องเพื่อจะยืนสูบบุหรี่คุยโทรศัพท์กับพี่นักข่าวอยู่ข้างนอก สน.ปทุมวัน หลังจากนั้นผมเดินกลับเข้าไปใหม่ พบว่าทหารและตำรวจตรงบริเวนข้างหน้าห้องมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผมจึงตัดสินใจเดินออกมาจากบริเวณนั้น และพอดี พี่นักข่าวโทรหาผมอีกครั้ง ผมจึงเดินออกมาเรื่อยๆและได้เล่ารายละเอียดให้พี่นักข่าวฟัง เราจึงตกลงกันว่าต้องออกมาจากตรงนั้นจะดีกว่าและนัดหมายเจอกัน ขณะที่เดินออกมาผมได้เดินสวนกับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ผมเจออยู่หน้าห้องสอบปากคำ พบว่าทหารกับลูกน้องอีกคนกำลังแบกสัมภาระจำนวนหนึ่งดูเหมือนจะเป็นหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของนักศึกษาฯ ออกมาจากรถตู้สีขาวทะเบียน ฮย 3545 (มาทราบทีหลังว่าเป็นรถตู้ที่ใช้ล็อกตัวนักศึกษาชุดแรก 3 คนออกจากโรงแรม) ผมจึงเดินเลี่ยงออกมาอีกทาง ซึ่งเป็นทางลัดออกมาจากฝั่งจุฬาลงกรณ์ฯ และขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อจะออกไปหาพี่ๆ ระหว่างขึ้นรถผมจึงโทรไปหาเพื่อนกลุ่มอาสาสมัครฯที่อยู่ลานน้ำพุ แจ้งว่ากลุ่มที่ทำกิจกรรมถูกจับหมดแล้ว เพื่อนจึงตัดสินใจถอนตัวออกจากพื้นที่กัน ก่อนที่ฝนก็เทลงมาอย่างหนักในเวลาของวันนี้เริ่มที่จะมืดแล้ว

ในสภาวะประเมินการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่คณะรัฐประหารอย่างแม่นยำและชัดเจนได้เลย สิ่งที่พอจะทำได้นั่นคือ การช่วยกันสังเกตการณ์และติดตามการจับกุมประชาชนให้ได้อย่างละเอียดที่สุด ด้วยว่ากิจกรรมอาสาสมัครฯ เช่นนี้จะช่วยผ่อนแรงเสียดทานของการคุกคามละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิในร่างกาย แม้ว่าสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งของความมนุษย์คือเสรีภาพในการแสดงออกจะถูกพรากไปแล้ว ผมหวังว่าบันทึกนี้จะมีส่วนช่วยให้อาสาสมัครฯ มองเห็นจุดเผชิญหน้ากับผู้บังคับใช้อำนาจจากอีกมุมหนึ่งและพร้อมที่รับมือกับสถานการณ์การเมือง ที่ไร้หลักประกันใดๆให้กับพลเมืองในประเทศนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net