Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทศพร เสรีรักษ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตโฆษกประจำสำนักนายรัฐมนตรี ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้อง “การทำประชามติ  เพื่อหาทางออกประเทศไทย” ต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.และมวลมหาประชาชน

ทศพร ระบุด้วยว่าประชาชนไทยทั้งมวลไม่ได้เห็นดีเห็นงามตามคุณสุเทพ และการอ้าง “มวลมหาประชาชน” ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนประชาชนไทยทั่งมวล  พร้อมชี้ด้วยว่าการตั้งรัฐบาลรักษาการและนายกฯมาตรา 7 นั้น เป็นข้อเสนอที่ขัดต่อพระราชกระแสดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่เคยพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549  ดังนั้นจึงเสนอทำประชามติ  ตามรัฐธรรมนูญ ม.165 และ พ.ร.บ.ประชามติ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับสุเทพหรือไม่ที่จะให้มีจัดตั้งสภาประชาชนแล้วแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีรวมทั้งรัฐบาล หรือประชาชนจะยังมีมติเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะยังคงการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ  2550  ที่สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง  แล้วสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

00000

จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

ประเทศไทย
6 ธันวาคม 2556
 

เรื่อง   การทำประชามติ  เพื่อหาทางออกประเทศไทย

เรียน   คุณสุเทพ   เทือกสุบรรณ  คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และมวลมหาประชาชน

กว่า 1 เดือนที่คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ กปปส.และมวลมหาประชาชน ได้จัดการชุมนุม ยึดพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะฯ แล้วบีบบังคับข่มขืนใจให้คนไทยทั้งประเทศยอมรับข้อเสนอของท่านแต่ข้างเดียว ในการจัดตั้งสภาประชาชน และจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 7 นั้น มีข้อพึงต้องพิจารณาดังต่อไปนี้

            1.คุณสุเทพมักจะอ้างอยู่เสมอ  ให้ข้าราชการฯเลือกว่า “จะอยู่ข้างประชาชนหรือข้างรัฐบาล” ต้องพิจารณาด้วยว่า ประชาชนไทยทั้งมวลไม่ได้เห็นดีเห็นงามตามคุณสุเทพ  กปปส. และมวลมหาประชาชน  ไปเสียทั้งหมด สถานการณ์นี้ต่างไปจากความขัดแย้งทางการเมืองในกรณีเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ พฤษภาคม 2553 ที่ประชาชนไทยรวมใจเป็นเอกฉันท์ฝ่ายหนึ่ง  ในการขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารอีกฝ่ายหนึ่ง  แต่ความขัดแย้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นการขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน  แต่เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชน 2 ฝ่าย คือฝ่ายคุณสุเทพ กปปส. และมวลมหาประชาชน กับประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ  หากคุณสุเทพบังคับข่มขืนใจให้ประชาชนไทยที่สนับสนุนรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยทนยอมรับการบังคับกดดันของฝ่ายคุณสุเทพ  กปปส.และมวลมหาประชาชน  ก็น่าจะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ยุ่งยากไปในภายหน้า อาจนำไปสู่สถานการณ์แตกแยกรุนแรงเป็นสงครามกลางเมืองแบบเดียวกับอียิปต์ หรือซีเรียได้ จึงพึงต้องตระหนักในข้อนี้ให้มาก

            2.การอ้างจำนวนผู้ชุมนุมซึ่งคุณสุเทพ  เทือกสุบรรณ และ กปปส. ใช้คำเรียกว่า  “ มวลมหาประชาชน” นั้น  ก็ไม่อาจเป็นตัวแทนของประชาชนไทยทั่งมวลได้ ซึ่งการอ้างว่ามียอดผู้ชุมนุมออกมามากที่สุดถึง 1 ล้านคนเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศที่เป็นกลาง ทั้ง     AP,REUTERS, BLOOMBERG ต่างรายงานตรงกันว่ามีผู้ชุมนุมเพียง 1 แสนคนเท่านั้น  (ตัวอย่างรายงานของ Reuters ) แต่ถึงแม้จะมีถึง 1 ล้านคนตามที่คุณสุเทพอ้าง  ก็มิใช่จะอ้างได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่หรือเป็นตัวแทนของประชาชนไทยทั้งประเทศ  ซึ่งมีถึง 64 ล้านคนได้

            3.การเสนอตั้งรัฐบาลรักษาการ และนายกฯมาตรา 7 นั้น เป็นข้อเสนอที่ขัดต่อพระราชกระแสดำรัสที่เคยพระราชทานไว้เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ที่ว่า

            ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก   ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทานนายกฯ พระราชทาน  ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย  ถ้าไปอ้างมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด  มันอ้างไม่ได้  มาตรา 7 มี 2 บรรทัดว่า  ไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ   ก็ให้ปฏิบัติตามประเพณี   หรือตามที่เคยทำมา  ไม่มีที่เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทาน  จะขอนายฯ พระราชทานไม่ใช่เป็นเรื่องการปกครองแบบประชาธิปไตย  เป็นการปกครองแบบ ขอโทษ พูดแบบมั่ว แบบไม่มีเหตุผล” 
             “ไม่ทราบใครจะทำมั่ว  แต่ว่าปกครองประเทศมั่วไม่ได้  ที่จะคิดอะไรแบบว่าทำปัดๆ ไปให้เสร็จๆ ไป  ถ้าไม่ได้  เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ  ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น  เพราะพระมหากษัตริย์ไม่มีหน้าที่ ที่จะไปมั่ว
”   

นายสุเทพ กปปส. และมวลมหาประชาชน  พึงระมัดระวังที่จะไม่กระทำการมิบังควรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท

4.ทั้งคุณสุเทพ  กปปส.  และมวลมหาประชาชน  ฝ่ายหนึ่งกับประชาชนที่สนับสนุนรัฐบาลอีกฝ่ายหนึ่ง   ต้องฟังมติของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ  64  ล้านคนที่รักประเทศชาติ  รักความสงบ ทั้ง  2  ฝ่าย  ต้องไม่แอบอ้างว่า   ฝ่ายตนเป็นเสียงข้างมาก  เป็นเสียงของประชาชนทั้งประเทศบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม

เพื่อเป็นการแสวงหาทางออกของประเทศ  จึงใคร่ขอเสนอแนะให้ทำประชามติ  ถามประชาชนทั้งประเทศโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 165 และพระราชบัญญัติประชามติ   เพื่อถามประชาชนว่า 

- เห็นด้วยกับแนวทางของนายสุเทพ  กปปส.และมวลมหาประชาชน ที่จะให้คุณสุเทพ กปปส.และมวลมหาประชาชน  จัดตั้งสภาประชาชนแล้วแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีรวมทั้งรัฐบาล

-เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลที่จะยังคงการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ  2550  ที่สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง  แล้วสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป

             ทั้งนี้ถ้าการลงประชามติฝ่ายคุณสุเทพ  กปปส.และมวลมหาประชาชนได้คะแนนเสียงมากกว่า  คุณสุเทพ กปปส. และมวลมหาประชาชน ก็จะมีความชอบธรรมที่จัดตั้งสภาประชาชน  นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต่อไป

แต่ถ้าผลออกมาในอีกทางหนึ่งที่ฝ่ายสนับสนุนแนวทางตามรัฐธรรมนูญที่มีสภาฯ  มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้คะแนนเสียงมากกว่า ก็คงเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะให้คุณสุเทพ กปปส.และมวลมหาประชาชน  หยุดชุมนุมและคืนพื้นที่  สถานที่ราชการต่างๆที่ยึดไว้  ให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง

            จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาแนวทางการทำประชามติหาทางออกให้ประเทศไทย  อันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net