Skip to main content
sharethis

(7 พ.ค.55) คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ออกแถลงการณ์กรณีเกิดเหตุระเบิดในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลมีแนวนโยบายต่อการป้องกันให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักอันตราย มีแนวนโยบายที่รอบด้านและชัดเจนเรื่อง มาตรฐานการปล่อยมลพิษ รวมถึงมีแนวนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการสร้างความร่วมมือประสานงาน ตลอดจนการประชุม ปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานในพื้นที่ เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัญหาที่แท้จริงและการแสวงหาหนทางและการป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ

00000


แถลงการณ์

แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์สารเคมีระเบิดในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด
ทำให้มีแรงงานเสียชีวิต 12 คน บาดเจ็บ 129 คน เมื่อ 5 พฤษภาคม 2555
และขอเรียกร้องรัฐบาลต่อการมีแนวนโยบายที่ชัดเจนต่อการคุ้มครองแรงงาน
ให้เกิดความปลอดภัยจากการทำงานในอุตสาหกรรมอันตรายในประเทศไทย
“รัฐอย่าทำหน้าที่เพียงติดพลาสเตอร์ ทายาแดง ให้กินแอสไพริน เพราะเป็นการบรรเทาทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น”

 

สืบเนื่องจากสถานการณ์สารเคมีโทลูอีน (Toluene) บริเวณโรงเก็บสารตัวทำละลายของบริษัทบี เอส ที อิลาสโตเมอร์ส จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงจนลุกไหม้ เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2555 ส่งผลให้มีแรงงานเสียชีวิต 12 คน และบาดเจ็บกว่า 129 คน ทั้งนี้บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในเครือของบริษัทกรุงเทพซินธิติ จำกัด (BST) ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางสงเคราะห์ที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตยางรถยนต์ ยางชิ้นส่วนยานยนต์ พื้นรองเท้าพลาสติก และอุปกรณ์กีฬา โดยเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยางสังเคราะห์รายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชีย

คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยขอแสดงความเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อแรงงานและครอบครัวที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุจากการทำงานในครั้งนี้ ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่วันจะเป็นวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ 10 พฤษภาคม 2555 ขณะเดียวกันก็ขอชื่นชมรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุการณ์อย่างละเอียดโดยทันที

แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ระเบิดดังกล่าวกลับเป็นเพียงภาพสะท้อนถึงปลายทางรูปธรรมของสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยจากการทำงานของแรงงานในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆในประเทศไทย ที่ยังต้องเผชิญกับอุบัติเหตุจากการทำงานจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบ่อยครั้ง แม้รัฐบาลไทยจะมีแนวนโยบายหรือมาตรการในการจัดการกับปัญหา แต่พบว่ารัฐยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ทั้งๆที่ข้อมูลจากหอการค้าไทย ระบุว่าสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศไทย 10 อันดับแรก ปี 2554 ในลำดับที่ 6 7 และ 8 คือ เม็ดพลาสติก , ผลิตภัณฑ์ยาง และเคมีภัณฑ์ มูลค่า 265,312 , 252,969 และ 250,046 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ชีวิตของแรงงานกลับแปรผกผันกับตัวเลขการส่งออกดังกล่าว
ในการนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องด้วยเหตุผลสำคัญจำนวน 8 ประการ ดังต่อไปนี้

(1) แม้จะมีการระบุว่าเหตุระเบิดครั้งดังกล่าวนี้อยู่ในช่วงระหว่างการปิดโรงงานเพื่อซ่อมบำรุงประจำปี แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว โรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่เมื่อเดินเครื่องการผลิตไปได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ จะต้องมีการปิดซ่อมบำรุงเพื่อทำการตรวจซ่อมบำรุงเครื่องจักรและเปลี่ยนตัวเร่งปฏิกิริยาบางตัวที่ถึงรอบการหมดอายุ กรณีดังกล่าวหากเป็นการซ่อมบำรุงปกติในระหว่างที่มีการเดินเครื่องการผลิต ทางโรงงานจะมีหน่วยซ่อมบำรุงดูแลเป็นการเฉพาะ แต่หากเป็นการซ่อมบำรุงเพื่อทำการตรวจเช็คทั้งหมด ทางโรงงานจะมีการว่าจ้างบริษัทภายนอกเข้ามาทำการซ่อมบำรุง บ่อยครั้งที่การจ้างงานภายนอกมาพร้อมกับความไม่ปลอดภัยของแรงงานที่เข้ามาทำงาน เนื่องจากแรงงานกลุ่มที่เข้ามาซ่อมบำรุงนี้ ไม่ใช่แรงงานประจำที่มีความชำนาญพื้นที่หรือมีความรู้พื้นฐานเพียงพอกับระบบการผลิตของโรงงาน หรือคุ้นเคยกับการทำงานในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงของสารเคมีที่มีไอระเหยและสามารถติดไฟได้ง่าย รวมถึงความเข้มงวดและความตระหนักของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานในสถานประกอบการ (จป.) มีน้อย ทำให้โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานแบบครั้งนี้ด้วยความประมาทจึงมีสูงมาก

(2) สืบเนื่องจากเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554 องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (กอสส.) ได้ให้ความเห็นต่อการดำเนินโครงการของบริษัทกรุงเทพซินธิติกส์ จำกัด ว่าเป็นโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มาตรา 67 วรรค 2 ทั้งนี้ในรายงานดังกล่าวได้ระบุชัดเจนว่าการดำเนินการของโรงงานยังขาดการประเมินความเสี่ยงในเรื่องอุบัติภัย ทั้งๆ ที่โครงการฯมีการใช้วัตถุดิบสารเคมีหลายชนิดทั้งสารไวไฟและสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะขาดการประเมินในเรื่องของการแพร่กระจายของสารพิษที่เกิดจากเหตุไฟไหม้ ระเบิดหรือไฟไหม้พร้อมกับเหตุระเบิด นอกจากนี้ยังขาดการประเมินความปลอดภัยในช่วงการซ่อมบำรุงที่อาจจะต้องใช้บุคคลากรจากภายนอกด้วย ความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปจากการใช้บุคลากรของบริษัทอย่างเดียว

นอกจากนั้นแล้วในรายงานยังระบุอีกว่า โรงงานแห่งนี้ไม่มีการระบุเรื่องการประเมินความเสี่ยงและศักยภาพการรองรับอุบัติภัย ทั้งในเรื่องของการขาดข้อมูลแสดงทิศทางการแพร่กระจายของสารเคมีหากเกิดอุบัติภัย, ขาดข้อมูลการแจ้งเหตุหรือการสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน, ไม่ปรากฏแผนรวมของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และไม่กำหนดการซ้อมแผนรับมืออุบัติภัยอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุมทุกชุมชนที่มีความเสี่ยง, ขาดการแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบถึงข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมี และขาดแผนการดูแล เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบและสิ่งแวดล้อมจากอุบัติภัย เหล่านี้คือข้อมูลสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงการที่โรงงานไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานแม้แต่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ เมื่อวันที่ 5-6 มีนาคม พ.ศ.2552 โรงงานแห่งนี้ก็ได้เกิดสารเคมีรั่วไหลขณะขนถ่ายสารเคมีขึ้นมาจากท่าเรือมาบตาพุดมาแล้วครั้งหนึ่ง

(3) โทลูอีน (Toluene) เป็นของเหลวใสและเป็นสารไวไฟที่ถือว่าเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ที่ควบคุมโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สารเคมีประเภทนี้ส่งผลต่อสุขภาพสูง คือ ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง มีผลต่อไขกระดูกและโลหิตอาจกลายเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด สำหรับแรงงานที่ต้องทำงานอยู่กับสารเคมีประเภทนี้เป็นเวลานาน ต้องเผชิญกับร่างกายที่อ่อนเพลีย มีอาการเหมือนมึนเมา คลื่นไส้ บางคนมีอาการวิงเวียน หมดสติ และอาจเสียชีวิตได้ เนื่องจากหายใจไม่ออก สำหรับผิวหนัง ถ้าถูกโทลูอีนเป็นเวลานานซ้ำที่เดิมจะเป็นแผลอักเสบ แน่นอนข้อมูลดังกล่าวนี้แรงงานโดยทั่วไปกลับไม่ทราบและขาดการเข้าถึงเพื่อการป้องกันในระหว่างการทำงานจนเกิดความสูญเสียขึ้น

(4) นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 ว่าด้วยการกระจายความเจริญจากเมืองหลวงไปสู่ภูมิภาค ภายในนิคมมีพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ โรงงานอุตสาหกรรมกว่า 300 โรงงาน มีอุตสาหกรรมที่สำคัญคือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ เหล็ก โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้า ทั้งนี้กว่า 50% ของโรงงานเกี่ยวข้องกับสารเคมี

ในช่วงปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปัญหาสิ่งแวดล้อมในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่และชุมชนโดยรอบ จนนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้พื้นที่มาบตาพุดเป็นเขตควบคุมมลพิษ จนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2552 ศาลปกครองจังหวัดระยองได้พิพากษาให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประกาศให้ท้องที่เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุดและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นเขตควบคุมมลพิษ บังคับให้โรงงานในพื้นที่ต้องจัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบทางสุขภาพ (HIA) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 67 วรรค แต่การดำเนินการของกรมควบคุมมลพิษก็ยังล่าช้าและไม่มีมาตรการบังคับอย่างจริงจัง รวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นรูปธรรมของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ความรุนแรงครั้งล่าสุด

(5) ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าปัจจุบัน (2554) ผู้ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมได้รับสารพิษจากสารเคมี จนประสบความเจ็บป่วย บาดเจ็บ พิการ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำงานปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ราย เสียชีวิตประมาณปีละ 800 ราย ซึ่งไม่รวมถึงผู้ใช้แรงงานภาคเกษตรกรรม แรงงานนอกระบบ และแรงงานข้ามชาติ เรียกได้ว่า อัตราการเจ็บป่วยจากการทำงานไม่ได้ลดน้อยลง ปัจจุบันโรคที่เป็นปัญหามากที่สุดในแรงงานทุกกลุ่มในภาคอุตสาหกรรม คือ โรคกล้ามเนื้ออักเสบ กระดูกสันหลังทับเส้นประสาท และโรคจากสารเคมี ซึ่งโรคเหล่านี้แรงงานมักจะถูกสำนักงานกองทุนเงินทดแทนตีความว่าไม่ใช่การเจ็บป่วยจากการทำงาน ทำให้แรงงานเข้าไม่ถึงการดูแล และนำมาสู่การฟ้องร้องคดีบ่อยครั้ง สิทธิจากระบบประกันสังคมก็ยังไม่ครอบคลุมโรคที่เกิดจากการทำงาน นี้คือพิษภัยของการพัฒนาอุตสาหกรรมที่แรงงานต้องเผชิญ

สถานการณ์ความไม่ปลอดภัยจากการทำงานจึงส่งผลต่อความสูญเสียทั้งทางตรง ได้แก่ รายได้ ผลิตภาพในการผลิต และทางอ้อม ได้แก่ ผลกระทบทางจิตใจและการดำรงชีวิตของลูกจ้าง ซึ่งองค์การแรงงานระหว่างประเทศประมาณค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากปัญหาความปลอดภัยและอาชีวอนามัยว่า จะมีค่าเสียหายประมาณร้อยละ 4 ของรายได้ประชาชาติ ในขณะที่ผลของความสูญเสียในเชิงคุณภาพชีวิตไม่อาจประเมินหรือทดแทนได้

(6) แม้ว่าในโรงงานหรือสถานประกอบการแต่ละแห่งจะมีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานในสถานประกอบการ (จป.) ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เกิดความปลอดภัยในการทำงาน อย่างไรก็ตามกลับพบว่าความเสี่ยงในสถานประกอบการก็ยังไม่ได้ลดลง สุขภาพของลูกจ้างยังเผชิญกับความเสี่ยงจากการทำงาน เนื่องจากในทางปฏิบัตินั้น พบว่าสถานประกอบการยังขาดการบังคับใช้กฎหมายและการรณรงค์เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังเช่นกรณีการเข้ามาของบริษัทซ่อมบำรุงภายนอกในบริษัท BST เป็นต้น รวมทั้งยังไม่มีการยกระดับและปรับปรุงมาตรฐานในการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยตามปัจจัยเสี่ยงให้ทันต่อความก้าวหน้าในการผลิตทางภาคอุตสาหกรรม เหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงจากความไม่ปลอดภัยในการทำงานยังเป็นปัญหาสำคัญของสถานประกอบการในย่านอุตสาหกรรมแต่ละพื้นที่

จากตัวอย่างของอุบัติภัยจากสารเคมีในพื้นที่มาบตาพุด เช่นในช่วงปลายปี 2550 ถึงต้นปี 2551 พบว่าเกิดอุบัติเหตุจากสารเคมี 4 ครั้ง

ครั้งที่ 1 ที่โรงงานบริษัทแพรกซ์แอร์ (Praxair) เป็นโรงงานผลิตน้ำแข็งแห้ง ตั้งอยู่ตำบลมาบตาพุด เกิดเหตุท่อและถังแก๊สแอมโมเนียระเบิด เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2550

ครั้งที่ 2 โรงงานไทยออร์แกนนิกเคมิคัลส์ ในเครือบริษัทอดิตยา เบอร์ล่า เคมีคัลล์ ตั้งอยู่ในนิคมเหมราชตะวันออก เกิดเหตุก๊าซคลอลีนรั่วไหลเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2551 ทางนิคมฯ ไม่มีการแจ้งข้อมูลข่าวสารให้ชุมชนใกล้เคียงทราบ

ครั้งที่ 3 โรงงานพีทีที ฟีนอลในเครือ ปตท. อยู่ในนิคมเหมราชตะวันออกเกิดเหตุสารคิวมีนรั่วไหลในปริมาณมากระหว่างทดลองเดินเครื่องเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2551 มีคนงานกว่า 112 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลมาบตาพุด โดยแหล่งข่าวจากภายในนิคมระบุว่ามีผู้เสียชีวิต 2 คน แต่ทางบริษัทและสาธารณสุขจังหวัดแถลงข่าวว่าไม่มีผู้เสียชีวิตแต่อย่างใด

ครั้งที่ 4 โรงงานพีทีที ฟีนอลในเครือปตท.ได้เกิดเหตุระเบิดทำให้มีสารเคมีรั่วไหลเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 2551

นอกจากนั้นแล้วจากข้อมูลของสำนักความปลอดภัยแรงงาน รายงานว่าในปี 2553 มีสถานประกอบการเพียง 17,883 แห่ง (ร้อยละ 4.76) จากจำนวนรวมทั้งประเทศ 375,914 แห่ง ที่ได้รับการตรวจความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม เป็นการตรวจด้วยสายตาไม่ใช่การตรวจด้วยเครื่องมือตรวจวัดทางวิทยาศาสตร์ และสรุปได้ว่าโดยเฉลี่ยในแต่ละปีทางกระทรวงแรงงานสามารถส่งเจ้าพนักงานตรวจแรงงานเข้าตรวจด้านความปลอดภัยได้ประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนสถานประกอบการทั้งหมดเท่านั้น

(7) เมื่อมาพิจารณาความเจริญเติบโตของท้องถิ่น คือ จังหวัดระยอง กับภาระความรับผิดชอบต่อสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด กลับพบว่าท้องถิ่นต้องรับผิดชอบหลายเรื่องโดยเฉพาะจากปัญหามลพิษ แต่ท้องถิ่นกลับไม่มีงบประมาณเพียงพอต่อการจัดการในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากพบว่าอุตสาหกรรมต่างๆ ในจังหวัดระยองเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งได้รับการยกเว้นการจ่ายภาษี ทำให้รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บจากโรงงานหรือสถานประกอบการจึงมีน้อยมาก เมื่อระบบภาษีมีข้อยกเว้น งบประมาณที่ท้องถิ่นได้รับจึงไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ปัญหาที่รุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งๆ ที่ผู้สร้างมลพิษต้องเป็นผู้จ่ายก็ตาม

(8) นับตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นมาที่ประเทศไทยมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 โดยกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานขึ้นมาภายใน 1 ปี ตามมาตรา 52 เพื่อทำหน้าที่ พัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน แก้ไข และร่วมดำเนินงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของภาครัฐและเอกชน

อย่างไรก็ตามกลับพบว่ากระบวนการจัดตั้งสถาบันฯ เป็นไปด้วยความเร่งรีบ รวมทั้งยังพบว่าหน้าที่ของสถาบันที่ระบุไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบัน ยังขาดการทำหน้าที่ในการรับเรื่องร้องเรียนเพื่อเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาแก้ไขปัญหา และศึกษาวิเคราะห์เพื่อเสนอมาตรการส่งเสริมการป้องกันความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินการเพื่อป้องกัน แก้ไขปัญหา จัดทำมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประกันสิทธิของบุคคลที่จะได้รับหลักประกันความปลอดภัยจากการทำงาน

ด้วยเหตุนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของแรงงาน ที่ผ่านมาการดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น ภาครัฐมุ่งเน้นไปแก้ปัญหามลพิษและอุบัติภัยซึ่งเป็นปัจจัยกำหนดทางด้านสิ่งแวดล้อม แต่ไม่ได้ตระหนักอย่างเพียงพอถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่ “แรงงาน” และ “ประชาชน” ในพื้นที่ รวมทั้งขาดการตระหนักและเรียนรู้ถึงบทเรียนและประสบการณ์ของประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้ว ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษและผลกระทบในทางลบอื่นๆ ตามมาอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องความไม่ปลอดภัยจากการทำงานของแรงงานในฐานะทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของการจ้างงาน เพื่อที่จะได้เตรียมการในการมียุทธศาสตร์และการวางนโยบายอย่างไรที่จะป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นหรือให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด

(1) รัฐบาลต้องมีแนวนโยบายต่อการป้องกันให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานของแรงงานในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักอันตราย เนื่องจากอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของอุตสาหกรรมไทย รวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดนับพันล้านหรือหมื่นล้าน โดยเฉพาะการสร้างให้เกิดระบบที่ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ละส่วนต้องเข้ามารับผิดชอบตามบทบาทหน้าที่ในการสร้างให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานให้มากขึ้น มีการทำงานอย่างบูรณาการของหน่วยงานทุกระดับทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น บทบาทของจังหวัด ท้องถิ่น เช่น เทศบาล บทบาทของกรม กระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะบทบาทของกระทรวงแรงงานต่อการคุ้มครองและเข้าถึงสิทธิแรงงาน

(2) รัฐบาลต้องมีแนวนโยบายที่รอบด้านและชัดเจนเรื่อง มาตรฐานการปล่อยมลพิษ เมื่อรัฐบาลได้ปล่อยให้มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่เกินกว่าพื้นที่จะรองรับได้จริง เนื่องจากพบว่าแรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและชุมชนใกล้เคียงต้องเผชิญกับมลพิษจากสารเคมีอย่างรุนแรง แม้จำนวนมลพิษที่แต่ละโรงงานปล่อยออกมาจะได้มาตรฐานการปล่อยมลพิษก็ตาม แต่เมื่อทุกโรงงานต่างปล่อยมลพิษและพัดมารวมกันในพื้นที่หนึ่งๆ ซึ่งเกินกำลังความสามารถของธรรมชาติที่จะรองรับได้ในพื้นที่นั้นๆได้ ทำให้ส่งผลต่อระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตเลวลงอย่างที่แรงงานและชุมชนต้องประสบอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องพิจารณาระเบียบ กฎเกณฑ์ในการจัดตั้งโรงงาน โดยคำนึงถึงศักยภาพในการรองรับของพื้นที่ เนื่องจากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีโรงงานตั้งรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาในการควบคุมดูแล และทำให้ไม่สามารถระบุโรงงานที่เป็นแหล่งปล่อยสารมลพิษได้ จึงควรพิจารณาระเบียบกฎเกณฑ์ในการจัดตั้งโรงงานเสียใหม่ โดยคำนึงถึงศักยภาพความสามารถในการรองรับมลพิษของพื้นที่ด้วย

(3) รัฐบาลควรมีแนวนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการสร้างความร่วมมือประสานงาน ตลอดจนการประชุม ปรึกษาหารือกับสหภาพแรงงานในพื้นที่ เพื่อรับทราบสถานการณ์ปัญหาที่แท้จริงและการแสวงหาหนทางและการป้องกันตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุ เพราะสหภาพแรงงานถือเป็นกลไกสำคัญในการทำงานด้านการส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงานกับแรงงานที่อยู่ในสถานประกอบการแต่ละแห่ง โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายแก่แรงงานในพื้นที่

ทั้งนี้คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยจะขอยื่นหนังสือเรียกร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายเดิมชัย สะสมทรัพย์ ในวันที่ 10 พฤษภาคม เนื่องในวันความปลอดภัย และเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะคำนึงพร้อมให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยในการทำงานของแรงงาน มากกว่าเพียงตัวเลขการส่งออกที่ทะยานสูงขึ้นทุกปีตามแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมประเทศไทย ที่กลับซ่อนตัวเลขชีวิตแรงงานผู้สูญเสียโดยปราศจากการตระหนักอย่างจริงจัง และขอให้ความสูญเสียครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย

ขอแสดงความนับถือ

นายชาลี ลอยสูง
ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

แถลงผ่านสื่อสาธารณะเมื่อ 7 พฤษภาคม 2555
คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทยประกอบด้วย
1. สมาพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิคส์ ยานยนต์ และโลหะแห่งประเทศไทย
2. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
3. สหพันธ์แรงงานเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์แห่งประเทศไทย
4. สหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย
5. สหพันธ์แรงงานยานยนต์แห่งประเทศไทย
6. สหพันธ์แรงงานธุรกิจโรงแรมและบริการ จังหวัดภูเก็ต
7. สหพันธ์แรงงานปิโตรเลียมเคมีภัณฑ์แห่งประเทศไทย
8. กลุ่มสหภาพแรงงานย่านอ้อมน้อย -อ้อมใหญ่
9. กลุ่มสหภาพแรงงานย่านพระปะแดง
10. กลุ่มสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมเบอร์ล่า
11. กลุ่มสหภาพแรงงานภาคตะวันออก
12. กลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง
13. กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง
14. กลุ่มผู้ใช้แรงงานอยุธยาและใกล้เคียง
15. มูลนิธิพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย
16. โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
17. สภาเครือข่ายผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย
18. มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์
19. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
20. ศูนย์ประสานงานเครือข่ายแรงงานนอกระบบ กทม.
21. สมาคมรวมไทยในฮ่องกง
22. เครือข่ายแรงงานนอกระบบ
23. มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์
24. มูลนิธิไพศาล ธวัชชัยนันท์
25. มูลนิธิอารมณ์ พงศ์พงัน
26. มูลนิธิเพื่อนหญิง
27. กลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี
28. กลุ่มเพื่อนประชาชน
29. เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ (ANM)
30. ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net