Skip to main content
sharethis





การเมือง


 


นายกฯ เข้าเฝ้าในหลวง


โพสต์ทูเดย์ - วานนี้ (27 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางโดยเครื่องบินของกองทัพบก ไปยังพระราชวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน และจะเดินทางกลับมาถึง กทม.ในวันนี้ เวลา 19.30 น.


 


 


แพทย์ระบุพลทหารกะโหลกแตกกระแทกของแข็งรอผลชันสูตร 7 วัน


มติชนออนไลน์ - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน ถึงการผ่าพิสูจน์ศพพลทหารอภินพ เครือสุก ที่เสียชีวิตภายในบ้านพักกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ว่า ครอบครัวพลทหารได้รับเงินทำศพ 17,000 บาท แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุทำนองว่า พลทหารอภินพเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ตนขอตั้งคำถามเดียวว่า ชายไทยอายุ 21 ปีที่รับราชการทหารต้องเสียชีวิตจากการลื่นล้ม ในการดูแลนายอภิสิทธิ์ ใครจะเชื่อถือ ครอบครัวระบุว่าจะไม่เผาศพจนกว่าจะทราบความจริง แต่อีกไม่กี่วันนี้ จะมีภาพและเสียงในเรื่องนี้ปรากฏออกมาว่า การสังเวย 1 ชีวิต เพื่อปกป้องนายอภิสิทธิ์นั้นสมควรหรือไม่


 


ด้านคณะแพทย์ศิริราชสรุปเบื้องต้นผลการผ่าชันสูตรพลิกศพ พลทหาร อภินพ เครือสุข อายุ 22 ปี ทหารเกณฑ์ที่เสียชีวิตภายในบ้านพักกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ของ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เกิดจากกะโหลกศีรษะแตกเป็นรอยยาว โดยต้องมีของแข็งมากระทบ หรือผู้ตายไปกระทบของแข็ง รอผลตรวจชิ้นเนื้ออีก 7 วัน หาสาเหตุแน่ชัด ทั้งนี้ ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล แถลงเมื่อวลา 13.30 น. วันที่ 27 เมษายน ที่โรงพยาบาล (รพ.) ศิริราช ว่าตามที่ได้มีการนำศพของพลทหาร อภินพ เข้ามาทำการตรวจศพที่ รพ.ศิริราช เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ตามคำร้องขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เลขที่ ยธ. 0800/พิเศษ ลงวันที่ 26 เมษายน 2552 คณะแพทยฯได้แต่งตั้งคณะกรรมการการตรวจศพ พลฯ อภินพ เครือสุข ประกอบด้วย1. รศ.นพ.วิสูตร ฟองศิริไพบูลย์ ประธานคณะกรรมการตรวจศพฯ 2.ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.สมชาย ผลเอี่ยมเอก และ 3.รศ.พญ.สมบูรณ์ ธรรมเถกิงกิจ


 


รศ.นพ.วิสูตรเปิดเผยว่า ผลการตรวจพบว่า ส่วนที่บริเวณคอมีรอยช้ำที่ต้นคอ (ด้านหลังของคอ) มีการแตกของกะโหลกศีรษะ โดยเนื้อส่วนฐานของศีรษะด้านซ้ายมีรอยร้าวต่อเนื่องจากด้านซ้ายไปถึงบริเวณ กึ่งกลางกะโหลกศีรษะยาว 5-7 เซนติเมตร ( ซม.) พบมีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มไขสันหลังบริเวณต้นคอชัดเจน ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต คือกะโหลกศีรษะส่วนหลังแตก ทำให้เลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่กดเนื้อสมอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรอยกดที่เกิดจากเลือดยุบลงไปทับเนื้อสมองความลึกประมาณ 0.5 ซม. เป็นบริเวณกว้าง ซึ่งดูจากเนื้อสมองที่เหลืออยู่จากการผ่าศพครั้งแรก


 


"คณะแพทย์สรุปเบื้องต้นว่า สาเหตุที่ทำให้พลฯ อภินพ เสียชีวิต เกิดจากกะโหลกศีรษะแตกเป็นรอยยาว มีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมองชั้นหนาที่ยังคงค้างอยู่และเลือดกดเนื้อสมอง เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตดังกล่าว ซึ่งเป็นร่องรอยชัดเจนจากการผ่าตัดตรวจครั้งนี้"


 


เมื่อถามว่ากะโหลกแตกหมายถึงมีของแข็งมากระทบใช่หรือไม่ รศ.นพ.วิสูตรกล่าวว่า ต้องมีของแข็งมากระทบ หรือผู้ตายไปกระทบของแข็ง แต่ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดในขณะนี้ ซึ่งกะโหลกบริเวณดังกล่าว เป็นการแตกร้าวเป็นรอยยาวแบบครั้งเดียว ซึ่งการกระทบที่ทำให้กะโหลกแตกได้นั้นถือว่าเป็นการกระทบที่ค่อนข้างรุนแรง พอสมควร แต่ต้องดูในข้อเท็จจริงด้วยว่าตำแหน่งและสภาพของการถูกกระทบกระแทกเป็นอย่าง ไร ซึ่งแพทย์ตอบไม่ได้ อาจจะต้องอาศัยพนักงานสอบสวนไปดูในที่เกิดเหตุมีลักษณะเป็นอย่างไร


 


เมื่อถามว่าระยะเวลาที่ผู้ตายถูกกระทบที่กะโหลกรวมทั้งรอยแผล ตอบได้หรือไม่ว่าถูกกระทบอย่างไร รศ.นพ.วิสูตรกล่าวว่า ไม่สามารถตอบได้ อยู่ที่ทีมแพทย์จะต้องเอาชิ้นเนื้อแต่ละส่วนไปทำการตรวจอีกครั้ง ซึ่งจะรู้ว่าแผลแต่ละจุดเกิดเร็วหรือช้า เพราะถ้าเกิดเพียงสั้นๆ จะไม่เกิดอันตราย แต่ถ้าเกิดล่วงมานานแล้ว ก็อาจเกิดปฏิกิริยาแห่งชีวิตได้ที่จะแสดงให้เห็นได้ ซึ่งต้องรอผลจากการผ่าตัดชิ้นเนื้อภายใน 7 วันเป็นอย่างช้า


 


ขณะที่ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ชัยภูมิ เข้าร่วมรับฟังด้วยกล่าวว่า ผลชันสูตรฯเห็นได้ว่า บาดแผลผู้เสียชีวิต มีโอกาสทั้งจากการถูกทำร้ายและการหกล้ม ส่วนตัวเชื่อว่า หากหกล้มต้องล้มแรงมากซึ่งจะทำการประสานกับญาติจะพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อ ไป ซึ่งยืนยันว่าการทำหน้าที่นักการเมืองก็เพียงเพื่อช่วยให้ราษฎรคนหนึ่งที่มา ร้องทุกข์สบายใจ ไม่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง


 


นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลดีเอสไอกล่าวว่า ได้กำชับดีเอสไอ สืบสวนข้อเท็จจริงการเสียชีวิตของพลทหาร อภินพอย่างเป็นกลางตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ต้องการเป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร  หากผลสืบสวนเป็นความสลับซับซ้อนมากก็เสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)รับเป็นคดีพิเศษก็ได้ หากไม่พบความสลับซับซ้อน ก็ยุติเรื่องได้


 


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์เดิมทีพรรคเพื่อไทยและญาติของพลทหาร อภินพได้รับอนุญาตให้เข้าสังเกตการณ์การชันสูตรศพจากหัวหน้าภาควิชาแพทย ศาสตร์ รพ.ศิริราช แต่ภายหลังมีคำสั่งจากคณบดี คณะแพทยศาสตร์ไม่อนุญาต ถือเป็นความผิดปกติอย่างมาก


 


"พรรคตั้งข้อสงสัยการเสียชีวิตไว้ 3 ประเด็น คือ 1.ภายหลังเกิดเหตุมีการส่งพลทหาร อภินพไปรักษาตัวที่ รพ.รามาธิบดี แต่ภายหลังเสียชีวิตกลับได้รับในมรณะบัตรจาก รพ.พระมงกุฎเกล้า 2.ข้อสงสัยจากกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และแม่ทัพภาคที่ 1 ออกระบุว่า พลทหาร อภินพศีรษะฟาดพื้นและเสียชีวิต แต่เมื่อไปดูใบมรณะบัตรเขียนว่าคอหัก และเมื่อญาติไปตรวจศพกลับพบมีบาดแผลที่มือและร่างกาย และ 3.การจัดพิธีศพ ที่ทางกองทัพไม่ให้เกียรติจัดพิธีอย่างสมศักดิ์ศรี และเร่งจัดฌาปนกิจแบบลุกลี้ลุกลน จนครอบครัวต้องนำศพไปซ่อนไว้และนำมาฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากนี้จะพยายามต่อสู้ให้ญาติได้รับความกระจ่างจากสาเหตุการตายต่อไป"


 


เวลา 19.25 น. ที่กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับทราบผลการชันสูตรของ รพ.ศิริราชแล้ว โดยเข้าใจว่าตรงกับผลการชันสูตรของ รพ.รามาธิบดี ที่บอกว่าผู้เสียชีวิตได้รับแรงกระแทกและมีเลือดออก คงเป็นอาการของคนที่หมดสติไปและฟื้นมาช่วงหนึ่ง เสร็จแล้วเข้าใจว่ามีเลือดออกในสมองและทำให้เสียชีวิต สำหรับแรงกระแทกนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ คงมีการตรวจสอบต่อไป รวมทั้งเรื่องการส่งข้อความสั้นด้วย


 


"ไม่เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไปเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของเจ้า หน้าที่สลายการชุมนุมตรงไหน และเกี่ยวได้อย่างไร เพราะเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำ 14 เมษายน โดยไม่ได้พักอยู่ที่นั่นแล้ว และเหตุการณ์ต่างๆ ก็ยุติแล้ว ดังนั้นจะมีเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปเอาชีวิตของคนคนนี้"


 


เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านพยายามโยงว่าการตายของพลทหารอภินพเพราะนายกฯไปพักที่บ้านพักรับรอง นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "อ๋อ แล้วไงครับ ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าเป็นความรุนแรงที่เกิดจากฝ่ายรัฐบาลได้อย่างไร" เมื่อถามอีกว่า พรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่าการกระทบด้วยของแข็งนั้นอาจจะเป็นเพราะถูกตี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รพ.ศิริราชไม่ได้สรุปอย่างนั้น แต่ตนก็ไม่รู้สึกกังวลว่าจะถูกนำไปขยายความ ถือเป็นเรื่องตำรวจต้องสืบสวนสอบสวนต่อไป


 


ที่รัฐสภา นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงตอบโต้พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้ญาติของพลทหาร อภินพไม่ติดใจ แต่กลับมีคนไปยุแหย่  ที่น่าสงสัยคือทำไม ส.ส.พรรคเพื่อไทยถึงเจ้ากี้เจ้าการสนใจมากกว่าญาติของพลทหาร อภินพถึงขนาดนำศพมาผ่าพิสูจน์ รวมถึงการเสนอตัวเข้าร่วมพิสูจน์ศพซึ่งถือว่าขัดระเบียบปฏิบัติของสำนักงาน นิติวิทยาศาสตร์ ขอตั้งข้อสังเกตว่าการย้ายที่พิสูจน์ศพไปให้หน่วยงานอื่นเป็นการหวัง ประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือไม่ ถือเป็นการสร้างเรื่องหวังดิสเครดิตรัฐบาล


 


นายเทพไทกล่าวอีกว่า พรรคได้รับข้อมูลมาว่ามีแกนนำกลุ่มเสื้อแดงไปหว่านล้อมชายคนหนึ่งที่บาดเจ็บ จากถูกลูกหลงการปะทะระหว่างชาวบ้านนางเลิ้งกับคนเสื้อแดง ในวันที่ 13 เมษายน เข้าพักที่ รพ.รามาธิบดี ซึ่งมีความพยายามหว่านล้อมให้ชายคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นการ์ดเสื้อแดงและถูก ทหารยิง แต่ชายดังกล่าวปฏิเสธรับข้อเสนอของแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีหลักฐานเป็นนามบัตรที่ให้ไว้ ในนามบัตรระบุชื่อ 3 หน่วยงานคือ สมาพันธ์ประชาธิปไตย มูลนิธิญาติวีรชนประชาธิปไตย และมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย


 


"พรรคพบว่าทั้ง 3 องค์กรมีตัวแทนอยู่บนเวทีของคนเสื้อแดง แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำของคนเสื้อแดง ที่พยายามหาเหตุให้เกิดผลเสียกับรัฐบาล และเชื่อว่าคงไม่จบแค่เรื่องศพของพลทหาร อภินพ แต่มีความพยายามอื่นอีกเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลต่อไป ขณะนี้ทราบแล้วว่าคนที่นำนามบัตรดังกล่าวมาให้เป็นใครและรัฐบาลก็มีข้อมูลใน ส่วนนี้เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะดำเนินคดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ได้รับบาดเจ็บ" นายเทพไทกล่าว


 


ที่กองทัพบก เวลา 17.00 น. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า การเสียชีวิตของพลทหารอภินพกองทัพยินดีที่จะให้มีการผ่าศพพิสูจน์เพราะข้อ เท็จจริงคือข้อเท็จจริง กองทัพเข้าใจความรู้สึกของมารดาและญาติ หากจะพิสูจน์โรงพยาบาลไหนก็ยินดี ซึ่งมีความพยายามของนักการเมืองบางกลุ่ม ต้องการนำเรื่องเสียชีวิตของพลทหารมาผูกโยงการเมือง


 


 


"พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. บอกว่า ทุกสิ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วยความคิดเห็นของแพทย์ สำหรับสิ่งที่สังคมตั้งข้อสงสัยกรณีที่นายกรัฐมนตรีเข้าไปปฏิบัติภารกิจ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและไปพักที่บ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 และมีพลทหารส่งข้อความสั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เป็นใครก็รู้สึก ตื่นเต้นและภาคภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เป็นใครต้องทำอย่างนั้นเป็นปกติ แต่เป็นประเด็นที่นักการเมืองบางคนอาจพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง" โฆษกทบ.ระบุ


 


 


3 วิปตั้งกมธ.ปรองดอง ยุบชุดสลายม็อบ ไม่มีกม.รองรับ


ไทยรัฐ - เมื่อเวลา 16.30 น. วันนี้ (27 เม.ย.) นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนแทนราษฎร นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา ในฐานะตัวแทนวุฒิสภา พร้อมทั้งตัวแทนจากพรรคการเมืองทุกพรรคประชุมเพื่อรับทราบผลการประชุมร่วม ของวิป 3 ฝ่าย คือ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) และคณะกรรมการประสานงานวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) ที่มีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจาก เหตุการณ์ชุมนุมการเมืองระหว่างวันที่ 8-15 เม.ย. และคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ ภายหลังประชุมกว่า 2 ชั่วโมง


 


นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล แถลงภายหลังว่า ที่ประชุมได้หารือกันอย่างรอบด้านเพื่อพิจารณาข้อเสนอของวิป 3 ฝ่าย เพื่อคลี่คลายปัญหาทางการเมืองให้เกิดความปรองดองและความสมานฉันท์ ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่าหากมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงจาก เหตุการณ์ชุมนุมการเมืองระหว่างวันที่ 8-15 เมษายนขึ้นมาอีกก็จะเป็นซ้ำซ้อนกับสิ่งที่สมาชิกรัฐสภาอภิปรายระหว่างประชุม ร่วมรัฐสภา ประกอบกับสื่อมวลชนได้ตรวจสอบอย่างเต็มที่แล้ว อีกทั้งการตั้งคณะกรรมาธิการฯ ชุดดังกล่าวก็ไม่ได้นำมาสู่ข้อยุติจึงเสนอให้ผู้เสียหายไปร้องเรียนด้วยตัว เอง โดยสามารถไปร้องเรียนได้ที่ กมธ.ที่เกี่ยวเนื่องทั้งของสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒิสภา ประกอบกับรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว ประชาชนสามารถไปร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมได้


 


'ที่ประชุมจึงเห็นว่าควรยุบข้อเสนอที่วิป 3 ฝ่ายเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญสองคณะขึ้นมาแล้วตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหา ทางการเมืองเพื่อความปรองดองสมานฉันท์และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียง 1 ชุด โดยมีจำนวน 40 คน แบ่งเป็น ส.ส. 23 คน โดยมีสัดส่วนจากพรรคเพื่อไทย 9 คน พรรคประชาธิปัตย์ 8 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 พรรคเพื่อแผ่นดิน 1 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาและพรรคกิจสังคมมีสัดส่วนรวมกัน 1 คน พรรคราษฎรและพรรคประชาราชรวมกัน 1 คน ขณะที่สัดส่วนของ ส.ว. 7 คนและผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน ในจำนวนนี้ ส.ส.สามารถเสนอได้ 8 คน เป็นโควต้าของพรรคเพื่อไทย 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 2 คน วุฒิสภาเสนอได้ 2 คน ส่วนอีก 4 คนจะเป็นสัดส่วนที่พรรคการเมืองที่เหลือทั้งหมดจะเป็นผู้เสนอ ซึ่งผู้ทรงวุฒิจะไม่ได้มีสัดส่วนมาจากเสื้อเหลือง เสื้อแดง เพราะหากสมาชิกเสนอมาจริงก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น' นายชินวรณ์กล่าว และว่าในเวลา 13.00 น. วันที่ 28 เมษายน แต่ละพรรคการเมืองการเมืองและ ส.ว.จะเสนอรายชื่อเพื่อนายชัยอาศัยอำนาจตามข้อ บังคับข้อ 8 (5) เพื่อลงนามแต่งตั้งต่อไป โดยคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน จากนั้นจะนำผลการสรุปเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาให้รับทราบต่อไป ส่วนข้อเสนอในการนิรโทษกรรมนั้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ว่าจะหยิบยก มาพิจารณาหรือไม่


 


ขณะที่นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะมุ่งแก้ปัญหาทางการเมือง ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องถอยหลังสองก้าวเพื่อประเทศชาติ เลิกมานะทิฐิต่อกัน และ เมื่อถามว่าเหตุใดที่ประชุมจึงยุบคณะกรรมาธิการวิสามัญ 2 คณะที่วิป 3 ฝ่ายได้เสนอก่อนหน้านี้เหลือเพียงการตั้งคณะกรรมการเพียงชุดเดียว นายชินวรณ์ ตอบว่า การประชุมในช่วงเย็นได้รับทราบข้อกฎหมายจากนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ได้แจ้งถึงขอบเขตในการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ว่าอาจจะไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ถ้ามีการตั้งขึ้นมาในรูปแบบคณะกรรมการตามข้อบังคับข้อ 8(5) ก็จะมีกฎหมายรอบรับ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีของนายมารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เคยตั้งคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตยขึ้นมา


 


ขณะ ที่นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะที่ประชุมเห็นว่าควรหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมือง ให้เร็วที่สุด หากเหลือกรรมการเพียงชุดเดียวแล้วทำให้บ้านเมืองดีขึ้น นั่นแหละคือคำตอบ


 


ด้านนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ก็จะทำให้เกิดความเห็นขัดแย้งและการแก้ไขปัญหาก็จะไม่เดินหน้า ทั้งนี้มองว่าต้นตอปัญหาที่แท้จริงคือรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 หากตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพียงชุดเดียวก็จะทำให้งานเดินหน้าเร็วขึ้น


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม ได้รับฟังการชี้แจงของนายพิทูรถึงปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่สามารถตั้งคณะ กรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมฝ่ายค้านก็ไม่ได้ คัดค้าน เนื่องจากฝ่ายค้านมองว่าหากมีการตั้งกมธ.ชุดนี้มาจริง ก็อาจไม่พบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของผู้ชุมนุมตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวอ้าง


 


 


"สนธิ" มึนหัวให้การไม่ได้ "เสธ.แดง" ชี้ถ้ากระสุนมาจากพล.ร.9 อ้างต้องมีเลขกำกับ


มติชนออนไลน์ - พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าววานนี้ (27 เม.ย.) โดยปฏิเสธเรื่องที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ยอมรับจากการตรวจสอบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ คดีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยฝ่ายตำรวจพบเป็นกระสุนเอ็ม 16 ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก ส่งให้กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรีใช้ ว่าขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ได้ประสานมาอย่างเป็นทางการเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับกระสุน จึงขอบอกว่าอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครพูดอะไร อย่างไร กระสุนของกองทัพที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบก และมีตราอาร์ทีเอ (รอยัลไทย อาร์มี่) นั้น ตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา จะมีรายละเอียดตัวเลขที่จะบ่งบอกได้ถึงชนิด ล็อตที่ผลิตซึ่งควบคุมเป็นจำนวนหลักหมื่นนัด สามารถบ่งบอกได้ว่า หากมีข้อมูลหลักฐานที่ชัดเจนจะบอกได้ว่ากระสุนจำนวนนี้จะส่งไปหน่วยไหน โดยที่ผ่านมาในหลักการจะเป็นเช่นนี้ แต่ไม่อยากให้ลงไปในรายละเอียด เพราะจะทำให้เสียรูปสำนวนของการสืบสวนของตำรวจ


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใด ผบ.ทบ.บอกว่าเป็นกระสุนปืนจาก พล.ร.9 พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า "ยังไม่อยากให้วิจารณ์แต่หลักฐานเอกสาร วันเดือนปี ที่ผลิต รวมถึงขนาดชนิดแบบของกระสุนที่มีหมายเลขนัมเบอร์ เพราะสามารถตรวจสอบได้" เมื่อถามว่า ขณะที่ตำรวจยังไม่ได้ประสานมา ทำไม ผบ.ทบ.ระบุว่าเป็นกระสุนของ พล.ร.9 พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ยังไม่อยากให้พูดตรงนั้น เพราะเป็นข้อมูลเบื้องต้น หากกระสุนมีตราอาร์ทีเอ ก็สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เป็นกระสุนของกองทัพบก เมื่อถามย้ำว่า เหตุใด ผบ.ทบ.ออกมายอมรับว่าเป็นกระสุนของ พล.ร.9 พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ไม่อยากให้มองลงไปว่า ใครพูดอะไรอย่างไรเพราะจะเสียรูปคดี ซึ่งที่ ผบ.ทบ.ชี้แจงไปอาจเป็นข้อมูลเบื้องต้น เมื่อถามย้ำว่า คำพูดของ ผบ.ทบ.ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเชื่อถือได้ใช่หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวปฏิเสธคำถามพร้อมกับลุกหนียุติการแถลงข่าวทันที


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ภายหลัง ผบ.ทบ.ออกมายอมรับเป็นกระสุนของ พล.ร.9 พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. ได้แสดงความเห็นแย้ง โดยตำหนิฝ่าย เสธ.ของ ผบ.ทบ.ว่าไม่ตรวจสอบข้อมูลที่รายงานถึง ผบ.ทบ. เพราะกระสุนที่กรมสรรพาวุธทหารบกผลิตให้ พล.ร.9 ต้องมีซีเรียลนัมเบอร์ แต่ปลอกกระสุนที่พบไม่มี จึงไม่ใช่ของ พล.ร.9 แน่นอน ซึ่งคำพูดของ เสธ.แดงสอดคล้องกับเรื่องที่โฆษก ทบ.ออกมาให้สัมภาษณ์ในวันนี้


 


ขณะที่ พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวถึงการคลี่คลายคดียิงนายสนธิว่า กรณีที่กล้องวงจรปิดจับภาพรถกระบะต้องสงสัยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน ภาพที่ได้ถือเป็นหลักฐานที่ทางตำรวจจะนำไปตรวจสอบว่าใช่รถคนร้ายหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบรายละเอียดจากป้ายทะเบียนว่าเป็นของปลอมหรือไม่


 


นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความกลุ่มพันธมิตร กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องหาความจริงให้ได้ แต่เบื้องต้นนายสนธิยังไม่สามารถให้การในรายละเอียดได้เพราะมีอาการมึนศีรษะอยู่บ้าง


 


เวลา 19.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลว่า ขณะนี้ให้ทั้งตำรวจและทหารสนธิกำลังร่วมกันปฏิบัติงานดูแลรักษาความปลอดภัย ร่วมกัน ตั้งจุดตรวจ และให้มีสายตรวจเคลื่อนที่ร่วมกัน เพราะเป็นห่วงเรื่องการก่อวินาศกรรม และการลอบสังหาร ต้องทำไปสักระยะหนึ่งควบคู่ไปกับการประเมินด้านการข่าวไปทุกวันๆ เนื่องจากการลอบยิงนายสนธิทำให้รู้สึกเครียดอยู่ไม่น้อย แต่ยืนยันได้ว่าไม่ใช่การสร้างสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อเหลือง และไม่ใช่ฝีมือของรัฐบาลหรือกองทัพ เพราะการทำแบบนี้จะเป็นชนวนก่อให้เกิดความไม่สงบมากขึ้น ทั้งนี้ บอกให้ตำรวจที่รับผิดชอบคดี ให้จับกุมคนร้ายให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือสีใดก็ตาม งานนี้ตำรวจต้องทำงานหนัก และตามเกมให้ทัน


 


 


ทนายคดีสลายพธม.ขอถอนฟ้อง


โพสต์ทูเดย์ - ที่ศาลอาญาวานนี้ (27 เม.ย.) ผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังก์ นัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อ.4142/2551 ที่ นายสิทธิพร โพธิโสตา อาชีพทนายความ ซึ่งอ้างว่าเป็นผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภา และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ที่ผ่านมา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร., พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. , พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีร่วมสั่งการให้มีการสลายการชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต


         


โดยทนายความจำเลยเดินทางมาศาลเพื่อเตรียมการซักค้านพยาน แต่ปรากฏว่า นายสิทธิพรโจทก์ ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง พล.ต.อ.พัชรวาท จำเลยที่ 2 , พล.ต.ท.สุชาติ จำเลยที่ 4 และพล.ต.ต.อำนวย จำเลยที่ 5 ไปเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังจากได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องนายสมชาย จำเลยที่ 1 ไปตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.51 และถอนฟ้อง พล.ต.อ.จงรัก จำเลยที่ 3 ไปเมื่อวันที่ 27 ก.พ.52 ซึ่งการถอนฟ้องโจทก์ระบุว่าไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีต่อไป และเพื่อความสมานฉันท์ และความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ศาลสอบถามฝ่ายจำเลยไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ถอนฟ้อง และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ


         


มีรายงานข่าวระบุว่า ทนายความคนดังกล่าวมีความสนิทสนมกับ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น.และถูกมองว่านำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อหวังให้ ป.ป.ช.ยุติการไต่สวนนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลังสลายการชุมนุม ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. พ.ศ.2542 มาตรา 86 ได้บัญญัติ ห้ามไม่ให้ ป.ป.ช.รับคำกล่าวหาที่เกี่ยวกับเรื่องที่ศาลรับฟ้องในประเด็นเดียว


 


 






เศรษฐกิจ


 


คลังเผยหนี้สาธารณะสิ้น ก.พ.52 อยู่ที่ 39.93%ของจีดีพี


โพสต์ทูเดย์ - นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เผยยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 28 ก.พ.52 มีจำนวน 3,598,395 ล้านบาท หรือ 39.93% ของ GDP แยกเป็น หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,286,942 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,014,820 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 182,430 ล้านบาท หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 110,520 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 3,683 ล้านบาท


          


ทั้งนี้ หากเทียบกับเดือนก่อน พบว่า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 73,777 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้น 78,445 ล้านบาท และ 12,698 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนหนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลง 14,366 ล้านบาท และ 3,000 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง


         


สาเหตุการเพิ่มขึ้นสุทธิของหนี้สาธารณะคงค้างเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนที่ สำคัญเกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้นสุทธิ 78,445 ล้านบาท รายการที่สำคัญเกิดจากการออกตั๋วเงินคลังจำนวน 88,000 ล้านบาท โดยเป็นการใช้วงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2552 จำนวน 39,000 ล้านบาท ประกอบกับรัฐบาลได้ทำการออกพันธบัตรรัฐบาล และออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 17,030 ล้านบาท และ 13,500 ล้านบาท ตามลำดับ


         


นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการออกพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 9,999.20 ล้านบาท และนำเงินที่ได้จากการประมูลไปชำระคืนเงินในบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังที่ ใช้เป็น Bridge Financing ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อ ชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในส่วน ของ FIDF1 วงเงินรวม 49,999.20 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการกู้เงินระยะสั้นสมทบกับเงินในบัญชีเงินฝากกระทรวงการ คลัง (FIDF1 และ FIDF3) มาทดรองจ่ายไปก่อน จากนั้นจึงดำเนินการทยอยออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วง ระหว่างเดือน ธ.ค.51-ก.พ.52 เพื่อทยอยชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นและเงินในบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังดัง กล่าวข้างต้น 


         


สำหรับหนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกันเพิ่มขึ้นสุทธิ 12,698 ล้านบาท รายการที่สำคัญเกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ในประเทศของรัฐวิสาหกิจที่เป็น สถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้เบิกจ่ายเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 8,000 ล้านบาท และออกพันธบัตรวงเงิน 5,000 ล้านบาท


         


หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินลดลง 14,366 ล้านบาท ที่สำคัญเกิดจากการลดลงของหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันในส่วนของหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสุทธิของหนี้ต่างประเทศในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อแปลงเป็นเงินบาทลดลง 10,522 ล้านบาท.


 


 






คุณภาพชีวิต


 


สุวรรณภูมิ-สธ.ติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเช็คไข้หวัดหมู


มติชน - นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 เมษายนว่า ตามที่มีข่าวการระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศสหรัฐอเมริกาและแม็กซิโก สร้างความตื่นตระหนกให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นอย่างมากนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้จับมือกับด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศกระทรวงสาธารณสุข ติดตั้งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเทอร์โมสแกน (Thermoscan) เพื่อตรวจผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางจากต่างประเทศผ่าน ทสภ. โดยได้มีการติดตั้งไว้ที่ชั้น 2 บริเวณทางเข้าจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ซึ่งผู้โดยสารทุกคนจะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจจับอุณหภูมินี้  โดยได้มีการกำหนดอุณหภูมิปกติไว้ที่ 36องศาเซลเซียส  และหากพบผู้โดยสารมีอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนด หน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะปรากฏแถบสีแดงขึ้นมาทันที พร้อมกับมีเสียงดังเตือนถึงความผิดปกติ จากนั้นแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขจะทำการตรวจร่างกายเบื้องต้น และซักถามประวัติของผู้โดยสารรายนั้นๆ ก่อนส่งไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลบำราษฎร์นราดูรอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาสาเหตุที่ แท้จริงต่อไป


 


นายเสรีรัตน์ กล่าวว่า ผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเพื่อเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนกว่าร้อยละ 98 จะผ่านทาง ทสภ. แม้ว่า ทสภ. จะไม่มีเที่ยวบินที่บินตรงจากเมืองที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินไว้ อย่างไรก็ตาม ทสภ.ในฐานะที่เป็นด่านแรกของประเทศไทยที่จะต้อนรับผู้โดยสารจากต่างประเทศ ที่มีเป็นจำนวนมาก เราจึงให้ความสำคัญกับมาตรการป้องกันโรคดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารและป้องกันโรคไข้หวัดหมูไม่ให้เข้ามาระบาดใน ประเทศไทย  ทสภ. จึงได้มีการตรวจผู้โดยสารระหว่างประเทศทุกคนโดยเฉพาะเที่ยวบินที่มีผู้ โดยสารเดินทางมาจากเมืองที่ WHO ประกาศเตือนไว้ และแวะเปลี่ยนเที่ยวบินที่เมืองอื่นก่อนเข้าสู่ประเทศไทยทาง ทสภ. จะมีการตรวจเข้มเป็นพิเศษ รวมทั้งมีการแจกเอกสารข้อควรปฏิบัติจากกระทรวงสาธารณสุข (Health Beware Card) เพื่อให้ผู้โดยสารได้เฝ้าระวังสุขภาพของตนเองหากภายใน 14วันหลังจากเดินทางกลับจากต่างประเทศ พบว่ามีอาการผิดปกติของร่างกาย เช่น มีอาการไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ตัวเหลืองตาเหลือง อุจจาระร่วง ต้องเข้าพบแพทย์ทันที โดยสามารถติดต่อกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02- 590-3333


 


สำหรับทสภ. จะยังคงตรวจเข้มผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ ภาวะปกติ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคไข้หวัดหมูในประเทศไทย


 


 






ต่างประเทศ


 


เอดีบีเตือนโลกร้อนทำจีดีพีอุษาคเนย์หด


มติชนรายวัน - เอดีบีเผยโลกร้อนส่งผลกระทบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติในการทำมาหากิน เตือนเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดปล่อยก๊าซคาร์บอน


 


รายงานของ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 เมษายน ออกมาเตือนประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ระวังภัยเงียบที่จะเกิดขึ้นจาก ภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอากาศหรือภาวะโลกร้อนที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ของภูมิภาคที่ขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก


 


ในรายงานของเอดี บีที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษระบุว่า ภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ การขาดแคลนน้ำและปัญหาเศรษฐกิจตามมา โดยผลการศึกษาที่พุ่งเป้าไปที่ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ระบุว่า หากยังไม่มีการตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อนแล้ว ในปี 2643 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะปลูกข้าวได้น้อยลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2533 โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลก ร้อนมากที่สุดเนื่องจากพื้นที่บริเวณติดกับชายฝั่งถือเป็นพื้นที่เขต เศรษฐกิจสำคัญและส่วนใหญ่พึ่งพาการเกษตร ป่าไม้และแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นหลัก ดังนั้น หากไม่มีการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจจะทำให้ประชาชนนับล้านต้องตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะขาดอาหาร และทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น กลายเป็นที่มาของความขัดแย้งของคนในท้องถิ่น


 


นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่า อุณหภูมิเฉลี่ยใน 4 ประเทศที่ทำการศึกษาอาจจะสูงขึ้นถึง 4.8 องศาเซลเซียสภายในปี 2643 เมื่อเทียบกับปี 2533 หากยังคงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 70 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะเป็นที่มาของการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งและเสี่ยงต่อการเกิดน้ำ ท่วมในช่วงฤดูฝน


 


จากการคาดคะเนของเอดีบีพบว่า หากยังไม่หาวิธีการป้องกันภัยโลกร้อนที่จะเกิดขึ้น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมกันลดลงถึง 6.7 เปอร์เซ็นต์ในปี พ.ศ.2643 มากกว่าจีดีพีที่ลดลงทั่วโลกที่คาดว่าจะลดลงเฉลี่ย 2.2 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะสนับสนุนให้มีการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งในด้าน พลังงานและชลประทาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งจากไฟป่าและการทำลายป่า รวมทั้งการสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทนไม่ว่าจะเป็นลม แสงอาทิตย์ ชีวภาพและพลังงานจากใต้ผืนดิน ที่จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้


 


ขณะ ที่การประชุมร่วมระหว่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประจำฤดูใบไม้ผลิที่กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลกจนทำให้มีผู้ยากไร้ เพิ่มขึ้นกว่า 50 ล้านคนแล้ว อาจจะกลายเป็นหายนะของมนุษยชาติ พร้อมกับเรียกร้องให้ชาติสมาชิกเร่งให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่อ่อนแอกว่า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net