นักปรัชญาชายขอบ
"ดูดุ๊ดูมันแสดงละคร...มันจะมาเรียกร้องประชาธิปไตยอะไร ดูหน้าตามาจากบ้านนอกกันทั้งนั้น มันรู้หรือเปล่าว่าประชาธิปไตยคืออะไร..." เสียงบริภาษของคนกลุ่มหนึ่งขณะที่หยุดยืนหน้าจอทีวีในศูนย์อาหารห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วจ้องดูภาพผู้หญิงเสื้อแดงวัยกลางคนคุกเข่าก้มลงกราบและยื่นดอกกุหลาบให้ทหารที่ยืนตรึงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสลายการชุมนุมของมวลชนเสื้อแดงในช่วงเทศกาล "สงกรานต์เดือด" ที่เพิ่งผ่านมา
"คนรากหญ้า ยากจน ไร้การศึกษา ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ขายสิทธิขายเสียง เป็นม็อบรับจ้าง..." คือ "สมมติฐาน" (assumption) เกี่ยวกับคนรากหญ้า หรือ "ภาพความจริง" เกี่ยวกับคนรากหญ้าตาม "คำพิพากษา" ของคนชั้นกลางในเมือง ซึ่งเป็นสมมติฐานหรือภาพความจริงที่คนชั้นกลางรวมทั้งคนชั้นนำในสังคมไทยยึดถือเสมือนว่ามันเป็น "สัจธรรมที่เที่ยงแท้ไม่แปรเปลี่ยน"
ดูเหมือนแกนนำมวลชนเสื้อแดงก็อ่อนไหวกับคำปรามาสที่ว่า "ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบรับจ้าง ส่วนใหญ่เป็นคนรากหญ้าในเมืองและมาจากต่างจังหวัด" ทำให้ในการชุมนุมที่เพิ่งผ่านไป แกนนำบางคนพยายามประกาศแก้ "ข้อกล่าวหา" บนเวทีว่า "ใครบอกว่าเสื้อแดงมีแต่คนรากหญ้า ไร้การศึกษา พวกเรามีคนชั้นกลาง มีคนรวย คนจน มีคนทุกชนชั้น ดูสิ! ดูรถยนต์ของผู้มาร่วมเรียกร้องประชาธิปไตยที่จอดเรียงรายอยู่แถวโน้นสิ รถราคาแพงๆ ทั้งนั้น มันรถของคนรากหญ้าเร๊อะ..."
ที่น่าสังเกตคือ ไม่ต้องเอ่ยถึงสื่อกระแสหลัก แม้แต่สื่อของฝ่ายเสื้อแดงเองก็มีน้อยมากที่นำเสนอ "ตัวตน" ของคนเสื้อแดงรากหญ้าให้สังคมรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมจึงมาร่วมชุมนุม เขามีความคิดความเห็นหรือเจตจำนงของตัวเขาเองอย่างไร ในท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองที่สู้กันด้วยสงครามข่าวสารเป็นด้านหลัก คนเสื้อแดงรากหญ้า (ซึ่งเป็นมวลชนส่วนใหญ่ของฝ่ายเสื้อแดง) แทบจะไม่มี "พื้นที่" แสดงตัวตน ความคิดเห็น เจตจำนงผ่านสื่อกระแสหลัก หรือแม้กระทั่งผ่านเวทีปราศรัยของมวลชนเสื้อแดงเองก็ตาม
แต่ทว่าวันนี้ พวกเขาได้กลายเป็น "โจรเสื้อแดง" ตามคำพิพากษาของสื่อในเครือ "ผู้จัดการ" กลายเป็น "ตัวป่วนเมือง" ในสายตาของชาวกรุงเทพฯ กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐในสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาล และในอีกด้านหนึ่งพวกเขาอาจถูกทำให้เป็น "มวลชนเครื่องมือ" ในการต่อสู้เอาแพ้-ชนะในทางการเมืองของคนบางพวกบางกลุ่ม
พูดกันอย่างตรงไปตรงมา หากคนเสื้อแดงรากหญ้าบอกอย่างซื่อๆ ว่า "พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ อีก เพราะเชื่อว่าทักษิณจะมาปลดหนี้ให้พวกเขาได้จริงๆ
" คนชั้นกลางคงประณามว่า พวกเขาโง่ ถูกทักษิณและลิ่วล้อหลอกใช้ ยอมตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของทักษิณ เพราะหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะหมดหนี้ ไม่สนใจว่าประเทศจะเสียหายอย่างไร หรือที่ดีหน่อยคนชั้นกลางบางพวกอาจคิดว่า จะต้องให้ข้อมูลอีกด้านให้คนรากหญ้า "รู้ทันทักษิณ" จะได้ไม่ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณอีกต่อไป ฯลฯ
จะสังเกตได้ว่าตามมุมมองของคนชั้นกลางในเมือง (ซึ่งสะท้อนผ่านสื่อต่างๆ ผ่านทรรศนะของภาครัฐ, เอกชน ฯลฯ) เจตจำนงของคนรากหญ้าไม่ใช่ "เจตจำนงอิสระ" (free will) แต่เป็นเจตจำนงที่ถูกหลอก ถูกครอบงำ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายประชาธิปไตยหรือสร้างความเสียหายแก่ประเทศ อันเนื่องมาจากพวกเขาโง่ เพราะยากจน ด้อยการศึกษา เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร (ดูแต่ละครน้ำเน่า ฯลฯ) ดังนั้น จึงมีสื่อตัวแทนของคนชั้นกลางเคยประกาศอย่างอหังการ์ว่าเขาจะเอา "ปัญญา" ไปให้คนรากหญ้าได้หูตาสว่าง (โดยให้พ่อแม่พี่น้องซื้อจานดาวเทียม ASTV ติดตั้งไปทั่วทุกหมู่บ้าน เป็นต้น)
เมื่อปฏิเสธ "เจตจำนงอิสระ" ของคนรากหญ้าก็เท่ากับปฏิเสธ "ความเป็นมนุษย์" และลบ "ศีลธรรม" ออกไปจากการกระทำของพวกเขา ดังที่ ฌอง-ฌากส์ รูสโซ กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมามีเสรี...การละทิ้งเสรีภาพนั้นคือการละทิ้งความเป็นคน...และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจำนงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกไปจากการกระทำของเขา..."
สิ่งที่ทำให้คนชั้นกลางในเมือง "ตาบอด" ต่อความจริงที่แท้จริงของคนเสื้อแดงรากหญ้า คือ สมมติฐานที่ว่าทักษิณเป็นคนเลว โกงชาติ มุ่งล้มล้างสถาบันฯลฯ เจตจำนงของคนรากหญ้าที่ต่อสู้เพื่อทักษิณจึงเป็นเพียง "เครื่องมือ" ของคนเลว เป็นเจตจำนงที่ถูกชักจูงด้วยเงื่อนไขต่างๆ เช่น การปลุกระดมหลอกลวง การใช้เงินจ้างฯลฯ จึงไม่ใช่ "เจตจำนงอิสระ" ที่มีคุณค่าเป็นความดีงามทางศีลธรรมอันน่านับถือ
เป็นเรื่องน่าแปลกที่สื่อต่างชาติกลับฉายภาพ "ความจริง" ของคนเสื้อแดงรากหญ้าได้น่าเคารพมากกว่าว่า "ทักษิณเป็นนักการเมืองที่ทำให้คนรากหญ้ารู้สึกว่าพวกเขามีตัวตน มีอำนาจต่อรองทางการเมืองจากการลงคะแนนเลือกตั้งแล้วได้นโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน..." ถ้าความจริงอีกด้านเป็นเช่นนี้ เจตจำของคนเสื้อแดงรากหญ้าที่ต่อสู้เพื่อนักการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นทักษิณหรือใครก็ตาม) ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ย่อมเป็น "เจตจำนงอิสระ" ที่ควรได้รับการเคารพ เราต้องถือว่าเจตจำนงดังกล่าวเป็น "เจตจำนงอิสระที่มีศีลธรรมในทางการเมือง" แม้ว่าทักษิณจะมีข้อกล่าวหาหรือคดีความต่างๆ อยู่จำนวนมากก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ด้วย "กระบวนการยุติธรรมที่เที่ยงธรรม" ข้อกล่าวหาหรือคดีความต่างๆ เหล่านั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่จะมาลบล้าง "ศีลธรรม" ออกไปจากเจตจำนงอิสระของคนเสื้อแดงรากหญ้าได้เลย
หากคนชั้นกลางในเมือง (โดยเฉพาะสื่อ นักวิชาการ) เห็นว่า เจตจำนงของคนเสื้อแดงรากหญ้าเกิดจากความเข้าใจข้อเท็จจริงไม่ชัดแจ้ง ก็เป็นเรื่องที่ควรแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพวกเขาอย่างเคารพในความคิดความเห็นและความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม ไม่ใช่พิพากษาตัดสินบนสมมติฐานที่เต็มไปด้วยอคติ และด้วยมิจฉาทิฐิอหังการ์ว่าพวกตนคือผู้รู้สมควรจะไปหยิบยื่น "ปัญญา" ให้พวกเขา แต่ควรไปเรียนรู้จากพวกเขาอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
คนชั้นกลางในเมืองควรมองตัวเองอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิจารณ์ว่า "คนชั้นกลางไม่ชอบเรียนรู้ นอกจากไม่อ่านแล้วยังเที่ยวตัดสินชาวบ้านไปทั่ว..." ในเมื่อสังคมไทยนั้นคนชั้นกลางในเมืองคือผู้กุมอำนาจในการ "สร้างความจริง" (ความถูกต้องและอื่นๆ) หากความจริงที่คนชั้นกลางในเมืองสร้างขึ้นเกี่ยวกับคนเสื้อแดงรากหญ้าเป็นความจริงด้านลบเพียงด้านเดียว และเป็นความจริงที่ปฏิเสธ "เจตจำนงอิสระ" อีกทั้งลบล้าง "ศีลธรรม" ออกไปจากเจตจำนงของพวกเขาเสียแล้ว ความจริงที่คนชั้นกลางในเมืองสร้างขึ้นนั่นเองจะเป็นอุปสรรคขวากหนามของการพัฒนาประชาธิปไตยที่จะสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต!
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)