ชำนาญ จันทร์เรือง
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบคุณทักษิณหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบพลเอกพัลลภก็ตาม และไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบในเนื้อหาหนังสือลับลวงพรางภาค 2 ที่เขียนโดยคุณ
ในวงสนทนาตั้งแต่ระดับนักวิชาการบนหอคอยงาช้างจนถึงสภากาแฟข้างถนนต่างก็หยิบเอาประเด็นต่างๆเหล่านี้มาวิเคราะห์ถกเถียงกันอย่างออกรสชาติ ผมจึงเห็นควรที่จะได้มีการค้นหาความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะ เพื่อขจัดข้อขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังคุกรุ่นอยู่ในปัจจุบันและขจัดข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยต่อผู้ที่ถูกสงสัยทั้งหลายว่ามีส่วนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นองคมนตรี ตุลาการ อดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนนักธุรกิจผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดการพบปะพูดคุยกัน โดยวิธีการที่ว่านี้ก็คือวิธีการค้นหาข้อเท็จจริงก่อนที่บ้านเมืองและสถาบันต่างๆจะเสียหายไปมากกว่านี้ ด้วยวิธีการที่เรียกว่าการไต่สวนสาธารณะนั่นเอง
การไต่สวนสาธารณะ(public hearing) เป็นกระบวนการไต่สวนหาความจริงทุกด้านในประเด็นสาธารณะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบเรื่องราวทุกด้านที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ การไต่สวนสาธารณะนั้นมักดำเนินการโดยคณะกรรมการไต่สวนซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความเป็นกลางและอิสระ ดำเนินการรับฟังเรื่องราวทุกด้านในประเด็นสาธารณะเรื่องนั้นๆ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็ได้แก่การดำเนินของคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะของสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกาในกรณีการไต่สวนสาธารณะกรณีการก่อวินาศกรรม เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 (พ.ศ.2544) หรือที่เรียกกันว่า ไนน์ วัน วัน (9/11) ซึ่งเป็นการก่อวินาศกรรมที่รุนแรงที่สุดในแผ่นดินสหรัฐอเมริกานั่นเอง เพราะตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ยักษ์คู่แฝดในนิวยอร์กซิตี ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของทุนนิยมได้ถูกทำลายลงด้วยการจี้เครื่องบินให้พุ่งชน จนตึกถล่มและมีคนตายหลายพันคนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีการจี้เครื่องบินให้พุ่งชนตึกเพนตากอนซึ่งเป็นที่ตั้งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ในตอนแรก น.ส.
แต่นาย
จากรายงานฉบับนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้บุชเป็นอันมาก และทำให้บุชหาเรื่องปลดเขาออกจากตำแหน่งในข้อหาว่าเป็นพวกเดโมแครตและเป็นสมุนของคลินตัน นอกจากนั้นเขายังให้การว่าเขาเคยได้ยินนาย
จากตัวอย่างที่ผมยกมาให้เห็นนี้จะทำให้เราทราบว่ากระบวนการไต่สวนสาธารณะนั้นมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เราได้ทราบความจริงที่ฝ่ายที่ยึดครองอำนาจรัฐได้ใช้อำนาจไปในทิศทางใด ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถเอาผิดตามกฎหมายได้ด้วยเหตุเนื่องเพราะมีการบัญญัติกันท่าไว้ในมาตรา 309 ของรัฐธรรมนูญฯก็ตาม
ในส่วนของรัฐสภาไทยเรานั้นอันที่จริงแล้ว ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาของเราก็มีวิธีการที่คล้ายคลึงกัน แต่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาของเรามักมอบหมายให้คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา หรือตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นพิจารณาศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ของเราไม่มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนซึ่งประกอบด้วยบุคคลภายนอกที่เป็นกลางอิสระเหมือนเขา
ฉะนั้น ผมจึงเห็นว่าจากการเปิดประเด็นถึงเบื้องหลังการรัฐประหารที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาความยุ่งยากมาจนถึงปัจจุบันนี้และไม่ทราบว่าจะยุติลงเมื่อใด เราจึงควรที่จะได้มีการค้นหาความจริงโดยการตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นกลางและเป็นอิสระมาค้นหาความจริงที่อึมครึมเหล่านี้
แน่นอนว่าการตั้งคณะกรรมการอิสระนี้ย่อมตั้งโดยมีอำนาจตามกฎหมายรองรับ และองค์กรที่จะเป็นผู้จัดตั้งต้องอยู่ในสถานะที่เชื่อได้ว่ามีความเป็นกลางพอสมควร ซึ่งก็คงไม่หนีพ้นองค์กรรัฐสภานั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทยเรานั้นเป็นการปกครองในระบอบรัฐสภา(parliamentary system) ซึ่งโดยนัยยะก็คือรัฐสภาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด(parliamentary supremacy) รัฐสภาจึงควรที่จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะดังกล่าว เปรียบเทียบได้กับกรณีที่จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาในสมัยนั้นจะไม่ค่อยเห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ทัดทานเสียงของประชาชนที่เรียกร้องไม่ได้
กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน หากเราพร้อมใจกันเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไต่สวนสาธารณะนี้ขึ้นมาแล้ว ข้อสงสัยหรือข้อกล่าวหาต่างๆที่กำลังซัดสาดเข้าหากันย่อมกระจ่างขึ้น และแน่นอนว่าปัญหาความขัดแย้งย่อมทุเลาลงเพราะสาธารณชนได้ทราบความจริงว่าใครคือผู้มีบารมี ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ใครคือผู้มากบารมี หรือเป็นเพียงการปั่นกระแสเพื่อต่อรองอำนาจของผู้มีบารมีนอกประเทศเท่านั้น
ผมเชื่อว่าด้วยกระบวนการไต่สวนสาธารณะนี้จะทำให้เราทราบว่าแท้จริงแล้วใครพูดจริง ใครพูดเท็จ คนที่พูดจริงก็สามารถยืนอยู่ในสังคมได้อย่างทรนงองอาจ ใครที่พูดเท็จย่อมไม่สามารถยืนอยู่ในสังคมได้ เพราะจะถูกประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงขจัดออกไปในที่สุด
---------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 8 เมษายน 2552
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)