กลุ่ม Arakan Oil Watch ประเทศพม่า เผยแพร่รายงานการแย่งชิงก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพม่าอย่างไม่โปร่งใสโดยบริษัทจีน ที่ทำให้เกิดปัญหาความแร้นแค้นและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาความมั่นคงที่กำลังลุกลามบานปลาย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังส่งผลกระทบอยู่ในพื้นที่
กลุ่ม Arakan Oil Watch ประเทศพม่า เผยแพร่รายงานการแย่งชิงก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพม่าอย่างไม่โปร่งใสโดยบริษัทจีน ที่ทำให้เกิดปัญหาความแร้นแค้นและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาความมั่นคงที่กำลังลุกลามบานปลาย ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังส่งผลกระทบอยู่ในพื้นที่
แผนที่รัฐอาระกันและพื้นที่สำรวจปิโตรเลียม "บล็อก M" จะเห็นเกาะใหญ่ที่ชื่อ "รัมรี" อยู่ในเขตดังกล่าว (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
พื้นที่ขุดเจาะปิโตรเลียมบนเกาะรัมรี รัฐอาระกัน (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
เส้นทางวางท่อส่งก๊าซจากมหาสมุทรอินเดียด้านรัฐอาระกัน สหภาพพม่า ผ่านพื้นที่ตอนกลางของพม่าเพื่อเข้าสู่มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีนระยะทางกว่า 2,380 กิโลเมตร (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
บ่อขุดเจาะน้ำมันแบบพื้นบ้าน (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
การขุดเจาะน้ำมันแบบพื้นบ้าน (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในรัฐอาระกัน หรือรัฐยะไข่ ประเทศพม่า เผยแพร่รายงานการแย่งชิงก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในพม่าอย่างไม่โปร่งใสโดยบริษัทจีน ที่ทำให้เกิดปัญหาความแร้นแค้นและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาความมั่นคงที่กำลังลุกลามบานปลาย ทั้งหมดนี้กำลังส่งผลกระทบอยู่ในพื้นที่
"ขวางกั้นเสรีภาพ" (Blocking Freedom) เป็นรายงานที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ โดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมและมนุษยชนกลุ่ม "เฝ้าระวังน้ำมันอาระกัน" (Arakan Oil Watch) (คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายงาน) ซึ่งระบุว่าบริษัทจีนทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารพม่าในการยึดที่ดินและที่ทำกิน ทำลายการเพาะปลูก และวิถีชีวิตของชาวบ้าน ด้วยการก่อให้เกิดมลพิษในดินและในแหล่งน้ำระหว่างการสำรวจน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศจีน
นายจอกไก เข่ง (Jockai Khaing) ผู้อำนวยการกลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกันกล่าวว่า "บริษัทและผู้สนับสนุนของรัฐบาลซึ่งมีส่วนร่วมในโครงการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพม่าต้องทำให้พวกเราแน่ใจว่าพวกท่านยึดมาตรฐานสากลในการปฏิบัติกับประชาชนท้องถิ่นในเรื่องสิทธิ มีหลักประกันด้านสิ่งแวดล้อม และยึดหลักความโปร่งใส มิเช่นนั้นเราขอเรียกร้องให้พวกเขายุติการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพม่า"
สำหรับรายงานดังกล่าวใช้เวลาเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 2 ปี บนเกาะรัมรี (
การสำรวจน้ำมันโดยบริษัท CNOOC (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
แท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัท CNOOC ที่เรนันดอง (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
ที่ดินที่เรนันดองผืนนี้ถูกยึดเพื่อใช้เป็นที่ขุดเจาะน้ำมันโดยบริษัท CNOOC
(ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
สภาพดินและแหล่งน้ำบนเกาะรัมรีหลังจากมีโครงการขุดเจาะปิโตรเลียมโดย CNOOC (ที่มาของภาพ: Arakan Oil Watch)
รายงานดังกล่าวระบุว่าประชาชนท้องถิ่นซึ่งดำรงชีพนับศตวรรษด้วยการขุดบ่อน้ำมันแบบพื้นบ้าน ถูกขับไล่ออกจากที่ดินของพวกเขาโดยไม่มีการเตือน พวกเขาถูกริบที่ดินอันเป็นสมบัติและใช้ทำมาหากิน ทั้งนี้ความไม่พอใจปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2550 เมื่อชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบตัดสินข้อขัดแย้งด้วยตัวของเขาเองด้วยการเข้าไประงับการขุดเจาะของบริษัท CNOOC และเข้าปล้นสะดม ทำให้ทหารท้องถิ่นเข้าปราบปราม ทำให้ชาวบ้านกว่า 70 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ บางคนหนีมาไกลถึงประเทศไทยและมาเลเซีย
เรนันดอง (Renandaung) มีความหมายว่า "ภูเขาน้ำมัน" ในภาษายะไข่ เป็นเขตขุดเจาะน้ำมันพื้นบ้าน โดยชาวบ้านร้อยละ 90 จาก 200 ครัวเรือนเลี้ยงชีพด้วยการขุดน้ำมันขาย ในแต่ละวันชาวบ้านจะขุดน้ำมันได้ระหว่าง 1 - 4 แกลลอน (แกลลอนละ 4.55 ลิตร) โดยน้ำมันบ่อหนึ่งสามารถขุดได้หลายปี ผู้ขุดน้ำมันขายสามารถจะขุดน้ำมันตรงไหนก็ได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทน 1 ใน 7 ของกำไรที่ได้ให้กับเจ้าของที่ดิน โดยสามารถขายน้ำมันที่ขุดได้ให้กับโรงกลั่นน้ำมันของชาวบ้านในราคาแกลลอนละ 4,000 จ๊าต (4 เหรียญสหรัฐ) ส่วนคนที่ไม่ได้เช่าบ่อน้ำมันก็สามารถไปเป็นแรงงานรับจ้างเจาะน้ำมันได้ โดยผู้ชายมีรายได้ที่ 1,500 จ๊าตต่อวัน ส่วนผู้หญิงมีรายได้ที่ 1,000 จ๊าตต่อวัน
ทั้งนี้ประมาณการว่ามีบ่อน้ำมันของชาวบ้านไม่น้อยกว่า 300 แห่ง ถูกยึดโดยตำรวจ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และคนงานของบริษัท CNOOC ระหว่างการสำรวจน้ำมันของบริษัท บ่อน้ำมันของชาวบ้านหลายแห่งในเรนันดอง (Renandaung) บนเกาะรัมรี ถูกสั่งปิด ชาวบ้านรายหนึ่งที่ถูกปิดบ่อน้ำมันเล่าให้ฟังว่า เขาและเพื่อนบ้านถูกปิดบ่อน้ำมันรวมกัน 3 บ่อ โดยคำสั่งของตำรวจตามคำขอของบริษัท CNOOC โดยไม่มีการจ่ายเงินชดเชย และไม่มีการหาบ่อน้ำมันใหม่มาชดเชย เขาต้องหยุดงานไปเดือนเต็มๆ เพื่อขุดหาบ่อน้ำมันแห่งใหม่ที่ไกลกว่าพื้นที่ขุดเจาะของ CNOOC
นอกจากชาวบ้านจะสูญเสียที่ดินให้กับโครงการขุดเจาะน้ำมันของ CNOOC แล้ว การขุดเจาะในระดับ 10,000 ฟุตของบริษัท ที่ลึกมากกว่าถึง 20 เท่า เมื่อเทียบกับการขุดเจาะด้วยวิธีของชาวบ้านที่ 500 ฟุต ทำให้นักวิศวกรธรณีวิทยาคาดว่าการขุดเจาะของ CNOOC จะเปลี่ยนโครงสร้างทางธรณีวิทยา ทำให้ชั้นขุดเจาะน้ำมันแบบพื้นบ้านแห้งไปและน้ำมันจะอยู่ในชั้นที่ลึกมากกว่าเดิม
ชายคนหนึ่งเล่าว่าถูกยึดที่ดินไปโดยไม่ได้รับเงินชดเชย โดยบริษัทจีนใช้รถแทรกเตอร์เข้ามาเกลี่ยที่ดินจนทรายขึ้นมาจนเต็มพื้นที่ ที่ดินนี้เป็นของบรรพบุรุษของเขาและตกทอดมาหลายชั่วอายุคน ที่ดินนี้มีชื่อเขาเป็นเจ้าของ มีหลักฐานอยู่ที่สำนักงานรัฐบาลท้องถิ่นและที่ดินนี้ไม่น่าเป็นของบริษัทจีน เขาบอกต่อว่าในที่ดินของเขามีบ่อน้ำมันแบบพื้นบ้าน 8 แห่ง เขาขอร้องบริษัทจีนเว้นบ่อน้ำมันให้เขาไว้สักบ่อหนึ่งเพื่อใช้เลี้ยงครอบครัว แต่เขาก็ถูกขับไล่ออกจากบ่อน้ำมัน เขาพยายามเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวในที่ดินที่เหลือ แต่ดินก็แย่เสียจนปลูกอะไรไม่ได้ เขาพยายามขุดน้ำมันจากที่ดินส่วนที่เหลือ แต่กลิ่นจากห้องสุขาของคนงานบริษัทน้ำมันจากจีนก็ส่งกลิ่นเสียจนไม่มีใครกล้ามาช่วยเขาขุดน้ำมัน
ทั้งนี้เขาไม่ได้รับค่าชดเชยที่บริษัท CNOOC จะจ่ายให้ครอบครัวละ 40,000 จ๊าต (31 เหรียญสหรัฐ หรือราว 990 บาท) ต่อการสูญเสียที่ดินให้กับโครงการ ทั้งนี้เงินชดเชยดังกล่าวมีการจ่ายมายังเจ้าหน้าที่รัฐบาลพม่าในระดับท้องถิ่น แต่ไม่ถึงมือเจ้าของที่ดินจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการขุดเจาะน้ำมันของ CNOOC เช่น ทำให้ปลาในแหล่งน้ำเสียชีวิต ชาวบ้านที่นำปลาไปรับประทานเกิดปวดศีรษะและเจ็บป่วย แหล่งน้ำเน่าเสียและชาวบ้านไม่สามารถเพาะปลูกได้ รวมถึงไม่ได้รับเงินชดเชย เป็นต้น
นายจอกไกกล่าวว่า "แม้แต่ผู้คนในเมืองแถบรัฐอาระกันยังมีไฟฟ้าใช้ไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน คุณจินตนาการได้เลยว่าประชาชนจะโกรธแค้นขนาดไหนที่รัฐบาลทหารพม่าส่งออกทรัพยากรไปให้ประเทศเพื่อนบ้านแลกกับตัวเงินที่ชาวบ้านไม่มีวันได้สัมผัส"
ทั้งนี้จีนวางแผนจะใช้เกาะรัมรีเป็นประตูทางออกไปสู่มหาสมุทรอินเดีย โดยจะมีโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่จ๊อกผิ่ว (Kyauk Phyu) จากจุดนี้จะมีการวางท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากพม่าเข้าสู่มณฑลยูนนานของจีน โดยผ่านพื้นที่ตอนกลางของพม่าซึ่งมีประชากรหนาแน่น
และที่เกาะรัมรี ชุมชนท้องถิ่นคือผู้พ่ายแพ้มากที่สุดในพม่า โดยบริษัทจากจีนได้รับสิทธิให้ขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในน่านน้ำทั้งหมด 16 แห่ง นอกจากนี้ยังมีมากกว่า 11 ประเทศที่กำลังลงทุนด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพม่า
"จีนและบริษัทที่กำลังลงทุนในพม่าต่างออกนโยบายรับผิดชอบด้านสังคมโดยมีเนื้อหาที่น่าประทับใจ แต่เป็นเรื่องโชคร้ายในพม่า เพราะนโยบายเหล่านี้เป็นเพียงโวหารไร้ค่า" นายจอกไก ผู้อำนวยการกลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกันกล่าวในที่สุด
อ่านรายงาน Blocking Freedom ฉบับสมบูรณ์ (ภาคภาษาอังกฤษ) ได้ที่
http://www.arakanoilwatch.org/publications/Blocking%20Freedom.pdf
เกี่ยวกับกลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกัน กลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกัน (Arakan Oil Watch - AOW) เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ต้องการปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในรัฐอาระกันและประเทศพม่า กลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกันดำเนินการเผยแพร่ข้อมูลให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อส่งเสริมให้เกิดความโปร่งใสของการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในภูมิภาค โดยกลุ่มเฝ้าระวังน้ำมันอาระกันเป็นหนึ่งในองค์กรสมาชิกของขบวนการท่อก๊าซชเว (Shwe Gas Movement) และเป็นสมาชิกองค์กรเฝ้าระวังน้ำมันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia Oil Watch) ข้อมูลเพิ่มเติม |
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สันติบาลจับพม่าพลัดถิ่นหลังชุมนุมต้านท่อก๊าซหน้าสถานทูต "แดจังกึม" 18/4/2549
เตรียมชุมนุมค้านท่อก๊าซพม่า หวั่นชาวบ้านถูกเผด็จการละเมิดสิทธิ 26/3/2550
ค้านท่อก๊าซพม่าที่สถานทูตเกาหลี หวั่นลงทุนสร้างเผด็จการพม่าเข้มแข็ง 27/3/2550
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)