วิชณุพงษ์ คำคูณ
สำนักข่าวประชาธรรม
ขณะที่สถานการณ์การเมืองบ้านเราอยู่ในภาวะชะงักงัน ไม่รู้จะไปทางไหนดี พร้อมๆ กับที่ราคาน้ำมัน ข้าวสารอาหารแพงขึ้น เรื่อยๆ ส่งผลให้ปัญหาของประชาชนโดยเฉพาะคนจน เกษตรกรยิ่งติดขัด ชะงักงันยิ่งกว่า และหนึ่งในปัญหาคลาสสิค คือปัญหาความยากจนอันมาจากการไร้ที่ดินทำกินนั่นเอง
คงต้องยอมรับว่านโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ตามถือเป็นนโยบายสำคัญที่ท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนั้นๆ แม้ว่าที่ผ่านมานโยบายดังกล่าวจะมีการดำเนินมาทุกรัฐบาลแต่ทว่าปัญหาความยากจนของประชาชนก็ยังมิได้หมดไป
ขณะที่ปัจจุบัน นับตั้งแต่พรรคไทยรักไทยภายใต้การนำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนภายใต้นโยบายประชานิยมนับเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ที่ทรงอิทธิพล สามารถเอาชนะใจประชาชนได้กว่าค่อนประเทศ เนื่องเพราะหลักการดำเนินนโยบายได้ใช้ประชาชนเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหา เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้ยากจนสามารถเข้าถึงทรัพยากรรวมทั้งบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึง
รัฐบาลชุดนี้ประกาศจะมีการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะให้คนจนหมดไปจากประเทศภายในปี 2552 โดยมีการวางแผนดำเนินการไว้เป็น 3 ระยะคือระยะแรก(2547)เปิดโอกาสให้คนจนไปลงทะเบียนแสดงความเดือดร้อนและความต้องการในประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาการไร้ที่ดินทำกิน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาที่อยู่อาศัย ฯลฯ
ส่วนระยะที่ 2 (2548-2549) เป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของผู้มาจดทะเบียน ควบคู่กับการวางรากฐานแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างโดยหน่วยงานต่างๆ ภายใต้การสั่งการของศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ(ศตจ.)เร่งแก้ไขปัญหาที่มีคนลงทะเบียนเอาไว้ เช่นการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้สิน และการแจกที่ดินให้ประชาชนเช่าทำกิน ฯลฯ ซึ่งในระยะนี้จะมีการแก้ไขกฎหมายนับร้อยฉบับที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาของคนจน
ส่วนระยะสุดท้าย (2550-2551) คนจนทุกคนที่ลงทะเบียนได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างครบถ้วน และประเทศไทยมีกฎหมาย ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้นนโยบายการลงทะเบียนคนจนจะทำให้คนจนในประเทศหมดไปนับจากปี 2552
สำหรับจำนวนตัวเลขประชาชนที่ลงทะเบียนคนจนตั้งแต่ปี 2547 พบว่ากรณีปัญหาที่ชาวบ้านไปลงทะเบียนมากที่สุดคือกรณีปัญหาการไร้ที่ดินทำกินซึ่งมีกว่า 4.8 ล้านครอบครัว จำแนกเป็นไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองจำนวน 2 ล้านครอบครัว มีที่ดินทำกินไม่เพียงพอ 1.6 ล้านครอบครัว และมีที่ดินแต่ไม่มีเอกสารสิทธิ์เพราะอยู่ในเขตที่ดินรัฐ 1.2 ล้านครอบครัว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจำนวนตัวเลขคนจนไร้ที่ดินที่ลงทะเบียนคนจนที่มีกว่า 4.8 ล้านครอบครัวนั้น ในเบื้องต้นรัฐกำหนดจัดสรรที่ดินเพื่อให้คนจนไร้ที่ดินเช่าครอบครัวละไม่เกิน
นั่นหมายความว่า ที่ดินจำนวน 29 ล้านไร่สามารถจัดสรรให้คนจนไร้ที่ดินได้แค่ 2.1 ล้านครอบครัวจากทั้งหมด 4.8 ล้านครอบครัว และในจำนวน 2.1 ล้านครอบครัวนั้นได้ที่ดินเฉลี่ยครอบครัวละ 13.8 ไร่เท่านั้น ดังนั้นปัจจุบันรัฐบาลยังขาดที่ดินอีกกว่า 40.5 ล้านไร่ เพื่อจัดสรรให้คนจนไร่ที่ดินที่เหลือและกำลังรอการจัดสรรที่ดินจากรัฐบาลอีกกว่า 2.7 ล้านครอบครัว
ดังนั้น รัฐบาลจะเอาที่ดินที่ไหนมาจัดสรรให้คนจนไร้ที่ดินที่เหลือกว่า 2.7 ล้านครอบครัว กรณีดังกล่าวถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าความความสามารถและความจริงใจในการแก้ไขปัญหาที่ดินของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจากนโยบายดังกล่าวทำให้คนจนไร้ที่ดินได้รับการจัดสรรที่ดินโดยการเช่ากว่า 2.1 ล้านครอบครัว แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่าเงื่อนไขหลักเกณฑ์ในการได้รับการจัดสรรที่ดินมิได้สวยหรูและง่ายดายอย่างที่คิด
รูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือกรณีการแจกที่ดินให้ชาวบ้านที่ลงทะเบียนคนจนกิ่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2548 ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มอบที่ดินให้ชาวบ้านกับมือ
ชาวบ้านกิ่ง อ.ดอยหล่อ ลงทะเบียนคนจนกรณีการขาดแคลนที่ดินทำกินทั้งหมด 6,700 ราย ขณะที่มีที่ดินที่สามารถนำมาจัดสรรให้ชาวบ้านเช่าได้กว่า
ร้ายไปกว่านั้น ในการคัดเลือกผู้ที่จะได้สิทธิในการเช่าที่ดินพบว่าอำนาจการดำเนินการและการตัดสินใจตกอยู่ที่ข้าราชการท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยที่ชาวบ้านเองไม่มีส่วนร่วมในการคัดเลือก ทั้งนี้เพราะหลังจากชาวบ้านลงทะเบียนคนจนแล้วทางราชการจะจัดรวบรวมรายชื่อแต่ละหมู่บ้านมาให้กำนันและกำนันจะแจ้งมายังผู้ใหญ่บ้านเพื่อดำเนินการคัดเลือกเรียงลำดับตามความจำเป็นมากไปสู่ความจำเป็นน้อย
แต่ข้อเท็จจริงพบว่า ผู้ที่ได้สิทธิในการคัดเลือกส่วนใหญ่จะเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกอบต. ถัดมาก็เป็นเครือญาติของบุคคลเหล่านี้ โดยที่ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกินจริงๆจะถูกเสนอชื่อพ่วงท้ายเพื่อป้องกันคำครหาที่เกิดขึ้น กรณีเหล่านี้เจ้าหน้าที่รัฐมิได้เข้ามาตรวจสอบแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ยังพบว่ารายละเอียดของสัญญาเช่าที่ดินนั้นยังขัดแย้งกับความเป็นจริงกล่าวคือชาวบ้านกิ่ง อ.ดอยหล่อ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม แบ่งเป็นทำสวนลำไยประมาณร้อยละ 70 ปลูกพืชผักร้อยละ 20 ปลูกพืชไร่ร้อยละ 10 แต่รายละเอียดของสัญญาเช่าระบุว่าเกษตรกรจะต้องใช้ที่ดินที่ได้รับจัดสรรทำไร่เท่านั้น หากเกษตรกรจะใช้ที่ดินในการทำการเกษตรด้านอื่นๆจะต้องขออนุญาตจากกระทรวงการคลังซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและซับซ้อน
ยิ่งไปกว่านั้น สภาพพื้นที่ที่นำมาจัดสรรให้ชาวบ้าน มีทั้งสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม ส่วนใหญ่มีสภาพเป็นดินลูกรังไม่เหมาะกับการทำการเกษตร บางพื้นที่มีหนองน้ำขนาด
อย่างไรก็ตาม จากที่นโยบายดังกล่าวให้สิทธิชาวบ้านเป็นแค่ผู้เช่าที่ดินเท่านั้น ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและความไม่แน่นอนในสิทธิบนที่ดิน เพราะไม่แน่ใจว่าที่ดินที่นำมาจัดสรรจะถูกนำไปใช้ในโครงการอื่นหรือไม่ ทำให้ในสัญญาเช่ามีการผลักภาระความเสี่ยงทุกอย่างให้กับชาวบ้าน เช่น กระทรวงการคลังในฐานะเจ้าของพื้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเช่าได้ตลอดเวลา หรือชาวบ้านต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับภาษีที่ดินทั้งหมดทั้งที่มีอยู่เดิมหรือที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
หรือในระหว่างที่มีสัญญาเช่าหากทางราชการต้องการใช้ที่ดิน ทางราชการมีสิทธิเวนคืนที่ดินได้และชาวบ้านจะไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือค่าชดเชยใดๆ รวมทั้งหากครบสัญญาเช่าชาวบ้านต้องปรับสภาพพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย และหากภายใน 30 วันเกษตรกรปรับสภาพพื้นที่ไม่เสร็จกระทรวงการคลังจะดำเนินการให้และจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับชาวบ้าน
นอกจากนี้ในสัญญาเช่ายังระบุว่าหากชาวบ้านไม่ทำประโยชน์ภายในหนึ่งปีนับแต่ที่ได้สิทธิในการเช่าแล้ว กระทรวงการคลังสามารถยกเลิกสิทธิการเช่านั้นได้ และที่สำคัญหากชาวบ้านผู้ได้รับสิทธิรายใดทำผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งทางกระทรวงการคลังสามารถยกเลิกสัญญาเช่าได้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสิทธิที่ชาวบ้านได้รับเป็นเพียงสัญญาเช่า มิใช่สัญญาซื้อขายหรือสัญญาเช่าซื้อ นั่นหมายถึงว่าชาวบ้านไม่มีโอกาสที่จะเป็นเจ้าของที่ดินได้เลย
ขณะที่ กรณีการจัดสรรที่ดินในเขตกิ่ง อ.ดอยหล่อนั้น เดิมทีพื้นที่บริเวณที่มีการจัดสรรให้เกษตรซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังที่ว่าการกิ่งอำเภอนั้นมีสภาพเป็นป่า โดยหน่วยงานทหารพัฒนาที่ 3 เป็นผู้ดูแลและปล่อยให้ทิ้งร้างมาตลอด ขณะที่รัฐบาลหรือกระทรวงการคลังเองก็ไม่ได้ประโยชน์จากพื้นที่บริเวณนั้น
แต่ภายหลังที่มีสัญญาเช่าเท่ากับว่าที่บริเวณนี้มีคนที่มีสิทธิเข้าทำประโยชน์และต้องเสียภาษีที่ดินให้กับกระทรวงการคลังทุกปี และที่สำคัญชาวบ้านต้องเสียค่าเช่าจากพื้นที่ตรงนี้ปีละ 70 บาทต่อไร่ต่อคน ทั้งหมด
จากพื้นที่ๆ ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับกระทรวงการคลังเลยกลับมีค่าเกือบ 1,000,000 บาท และตลอดระยะเวลาเช่าที่ ทางกระทรวงการคลังจะได้เงินจากการเช่าที่ปีละประมาณ 190,050 บาท นอกจากนี้ยังไมรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสิทธิในการเช่าที่ผู้ให้เช่าสามารถเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเช่าต่อได้และจะได้ค่าธรรมเนียมการเช่าเพิ่มขึ้น
กรณีเหล่านี้คงสร้างความชัดเจนขึ้นมาในระดับหนึ่งว่าการที่รัฐบาลโหมโฆษณาว่าจะจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรคนจนด้วยการเปิดโอกาสให้ประชาชนมาลงทะเบียนนั้น แท้จริงแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง ดังนั้นการประกาศว่าจะแก้ปัญหาคนจนให้หมดไปภายในปี 2552 นั้นก็เป็นเพียงการขายฝันเท่านั้นเอง
ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นพรรครัฐบาลที่มีเสียงข้างมากในสภา มีการดำเนินนโยบายที่เรียกว่าประชานิยม โดยใช้ประชาชนเป็นตัวตั้งในการแก้ไขปัญหา และดูเหมือนว่านโยบายเหล่านี้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านยากจนเข้าถึงทรัพยากรหรือบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน แต่กลับพบว่านโยบายดังกล่าวเริ่มมีเสียงสะท้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป็นการแก้ปัญหาความยากจนจริงหรือ ?
กรณีการแจกสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุในโครงการ "รัฐเอื้อราษฎร์" แก่ชาวบ้านกิ่ง อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2548 คือ รูปธรรมหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดในการดำเนินการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของรัฐบาล ภายหลังจากที่รัฐบาลโหมโฆษณาว่าจะจัดสรรที่ดินให้แก่คนจน พร้อมกับเปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียน แต่เมื่อชาวบ้านไปลงทะเบียนกลับพบว่าไม่เป็นจริงดังคำโฆษณา แถมยังพบเงื่อนไขว่าเงื่อนไขสัญญาเช่าก็ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ที่ดินจำนวนมาก แต่จัดสรรไม่พอ ?
พื้นที่กิ่งอ.ดอยหล่อ มีสภาพเป็นที่ราบสลับกับดอยขนาดเล็ก โดยมีเนื้อที่ประมาณ 219 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ
ที่ดินมีเอกสารสิทธิ์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ประมาณ
ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ประมาณ
จากจำนวนพื้นที่ข้างต้น ที่ดินดังกล่าวถือว่าอยู่ในเงื่อนไขที่ดิน 7 ประเภท ที่รัฐสามารถนำมาจัดสรรให้กับชาวบ้านได้ คือ ที่ราชพัสดุในความดูแลของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาภาค 3 ซึ่งมีประมาณ
หลังจากชาวบ้านใน กิ่ง อ.ดอยหล่อ ลงทะเบียนแก้ไขปัญหาความยากจน ประเด็นการขาดแคลนที่ทำกินทั้งหมด 6,700 ราย จากทั้งหมด 4 ตำบล คือ ต.สองแคว ต.สันติสุข ต.ยางคราม และ ต.ดอยหล่อ โดยเฉพาะพื้นที่ ต.ดอยหล่อ มีชาวบ้านลงทะเบียนประเด็นขาดที่ทำกิน 2,657 ราย ซึ่งเมื่อเทียบจำนวนพื้นที่และจำนวนคนที่ลงทะเบียน รัฐบาลสามารถที่จะจัดสรรให้กับชาวบ้านที่ขาดแคลนที่ทำกินได้ครบทุกคน แต่รัฐบาลกลับสามารถจัดสรรพื้นที่เพียง 3,000 ไร่ให้แก่ชาวบ้าน 905 ราย ทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างคนที่ได้รับการจัดสรรกับคนที่ไม่ได้รับ
คนจนไม่ได้ที่ดิน คนได้ที่ดินไม่ใช่คนจน
การคัดเลือกคนที่จะได้สิทธิในการเช่าที่ดิน อำนาจการดำเนินการต่างๆ และการตัดสินใจตกอยู่ที่ข้าราชการท้องถิ่น คือ ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการหมู่บ้าน และกำนัน โดยที่ชาวบ้านเองแทบจะไม่มีส่วนร่วมในการคัดเลือก โดยมีเงื่อนไขเบื้องต้นเพียงว่าคนที่จะได้สิทธิในการรับคัดเลือก คือ คนที่มาลงทะเบียนแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในประเด็นขาดแคลนที่ดินทำกิน โดยทางราชการจะจัดรวบรวมรายชื่อแต่ละหมู่บ้านมาให้กำนัน และกำนันจะแจ้งมายังผู้ใหญ่บ้านเพื่อเรียงลำดับตามความจำเป็นมากไปสู่ความจำเป็นน้อย
แต่ในทางปฏิบัติพบว่า ผู้ที่ได้สิทธิในการรับคัดเลือกส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่บ้านและผู้นำในหมู่บ้าน เช่น ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ที่เหลือเป็นเครือญาติของบุคคลเหล่านี้ โดยที่ชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินทำกินจริง ๆ จะถูกเสนอชื่อพ่วงท้ายเพื่อป้องกันคำครหาที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่ได้เข้ามาตรวจสอบโดยตรง แม้จะมีการให้สิทธิชาวบ้านในการลงชื่อคัดค้านผู้ที่ไม่สมควรได้รับที่ดิน แต่ไม่มีการกระจายข่าวให้ชาวบ้านรับรู้อย่างทั่วถึง ทำให้ไม่ปรากฏการคัดค้านของชาวบ้านในระหว่างที่มีสิทธิภายในเงื่อนไขขึ้น
จนชาวบ้านต้องรวมตัวกันร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรีเมื่อคราวที่เดินทางมาแจกสัญญาเช่าที่ดินแก่ชาวบ้านเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าคนจนจริง ๆ ที่ไม่มีที่ดินทำกินกลับมิได้รับการจัดสรร คนที่ได้ที่ดินกลับเป็นคนที่มีที่ดินอยู่แล้ว และมีอันจะกิน
เงื่อนไขสัญญาเช่าที่ดินไม่สอดคล้อง
นอกจากนี้ หากศึกษาในรายละเอียดของสัญญาเช่าที่ดินแล้ว พบว่าไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง กล่าวคือชาวบ้านในกิ่ง อ.ดอยหล่อ ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรมโดยแบ่งเป็น ทำสวนลำไย ประมาณร้อยละ 70 ปลูกพืชผัก ร้อยละ 20 ปลูกพืชไร่ ร้อยละ 10
แต่ในรายละเอียดของสัญญาเช่าระบุเงื่อนไขในการทำการเกษตร คือ จะต้องทำไร่เท่านั้น ซึ่งชาวบ้านที่ทำไร่มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น แต่ที่มากที่สุด คือทำสวนลำไย มีถึงร้อยละ70 ในสัญญาเช่าระบุว่า ถ้าหากชาวบ้านต้องการที่จะทำการเกษตรด้านอื่น ๆ ต้องมีการขออนุญาตจากกระทรวงการคลังซึ่งเป็นเจ้าของที่ ซึ่งมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน
ยิ่งไปกว่านั้น สภาพพื้นที่ที่นำมาจัดสรรให้กับชาวบ้าน มีทั้งสภาพเป็นป่า ดอย ห้วย ที่แห้งแล้ง มีบ่อน้ำขนาดประมาณ 1.5 ไร่อยู่เพียง 3-4 บ่อ และบ่อน้ำนี้เป็นบ่อน้ำใช้ในหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อมีการปลูกพืชต้องมีการใช้น้ำจำนวนมาก แต่ในสัญญากลับระบุว่าห้ามไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือขุดคู คลอง บ่อ หรือสระ และแหล่งน้ำในพื้นที่ นอกจากนี้ยังห้ามไม้ให้มีการตัดต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ยากเมื่อต้องการที่จะทำประโยชน์ เพราะไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช และในภาวะที่น้ำมันแพงชาวบ้านหันมาใช้น้ำพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ในพื้นที่กลับไม่มีแม้กระทั่งเสาไฟฟ้าให้ชาวบ้านได้อุ่นใจ
ผลักภาระทุกอย่างให้กับชาวบ้าน
จากการให้สิทธิชาวบ้านเป็นเพียงผู้เช่าที่ดิน ทำให้เกิดความไม่มั่นคงและความไม่แน่นอนในสิทธิบนที่ดิน เพราะไม่แน่ใจว่าที่ที่นำมาจัดสรรจะถูกไปใช้ในโครงการอื่นหรือไม่ ทำให้ในสัญญาเช่าได้มีการผลักภาระความเสี่ยงทุกอย่างให้กับชาวบ้าน เช่น 1) กระทรวงการคลังในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าเช่าได้ตลอดเวลา 2) ชาวบ้านต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับภาษีที่ดินทั้งหมดทั้งที่มีอยู่เดิมหรือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 3) ในระหว่างที่มีสัญญาเช่าอยู่ หากทางราชการต้องการจะใช้ที่ดิน ทางราชการมีสิทธิที่จะเวนคืนที่ดินได้และชาวบ้านจะไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือค่าชดเชยใด ๆ และ 4) ถ้าหากครบสัญญาเช่าชาวบ้านต้องปรับสภาพพื้นที่ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย ถ้ามีการปลูกไม้ยืนต้น ไม้ยืนต้นต้องตกเป็นของกระทรวงการคลัง ถ้ากระทรวงการคลังไม่ต้องการ ชาวบ้านต้องรื้อถอนทั้งหมด ถ้าไม่รื้อถอนภายใน 30 วัน กระทรวงการคลังจะทำการรื้อถอนให้และจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับชาวบ้าน
นอกจากนี้ในสัญญาเช่ายังระบุว่า ถ้าหากชาวบ้านไม่ทำประโยชน์ภายในหนึ่งปีนับแต่ที่ได้สิทธิในการเช่า กระทรวงการคลังสามารถยกเลิกสิทธิการเช่านั้นได้ และที่สำคัญ คือหากชาวบ้านผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง ทางกระทรวงการคลังสามารถที่จะบอกเลิกสัญญาได้
แปลงสัญญาเป็นทุนปัญหาที่ยังไม่มีข้อยุติ
จากสัญญาที่ได้รับเป็นเพียงสัญญาที่เช่า ไม่ใช่สัญญา ซื้อ-ขาย หรือสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งสัญญานี้ทำให้ชาวบ้านไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ด้วยความจำเป็นที่จะประกอบอาชีพ เช่น การปลูกพืชสวน ลำไย คือ พืชหลักที่ชาวบ้านมีความคุ้นเคย และกว่าที่ลำไยจะให้ผลผลิตประมาณ 3 ปี เท่ากับว่าถ้าหากชาวบ้านปลูกลำไย นอกจากจะเสี่ยงจากการถูกยกเลิกสัญญาจากการผิดสัญญาแล้ว ยังเสี่ยงกับระยะเวลาของสัญญาด้วย เพราะ 3 ปีเท่ากับว่าสิ้นสุดระยะเวลาในการเช่า เมื่อลำไยให้ผลผลิต ระยะสัญญาก็จะสิ้นสุดลงพอดี สิ่งที่ชาวบ้านได้ลงทุนลงแรงมาตลอดระยะเวลา 3 ปีอาจจะสูญเปล่าหรือไม่คุ้มทุน
ความคาดหวังของชาวบ้านในระยะแรกที่รู้ว่าตัวเองมีสิทธิได้สัญญาเช่า คือ การนำสัญญาเช่านี้ไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินเพื่อที่จะได้นำมาเป็นเงินหมุนใช้ภายในครอบครัว แม้ว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการให้กู้คือ การใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่ไทยรักไทยมาเป็นรัฐบาลมามีเงินไหลเข้าไปสู่หมู่บ้านมากมาย มีการจัดตั้งกลุ่ม และกองทุนหลายกองทุนขึ้นมา เช่น เงินออมทรัพย์ กองทุนเงินล้าน และเงินเหล่านี้กลายสภาพเป็นเงินกู้ให้ชาวบ้านได้กู้ยืม หมายถึงการทำให้ชาวบ้านเป็นหนี้
นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงหนี้ที่ชาวบ้านคุ้นเคยคือ หนี้ ธกส. เงินที่คาดว่าจะได้จากการนำสัญญานี้ไปเป็นหลักประกันก็เพื่อจะนำไปเป็นเงินหมุนในการใช้หนี้กองทุนเหล่านี้ ซึ่งมีข่าวออกมาว่าสัญญาเช่ามีมูลค่าในการกู้เงินสูงสุดถึง 200,000 บาท โดยธนาคารที่รับหน้าเสื่อปล่อยเงินกู้ให้กับชาวบ้าน มี อยู่ 5 ธนาคาร คือ 1) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรหรือ ธกส. 2) ธนาคารกรุงเทพ 3) ธนาคารกรุงไทย 4) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ 5) เอสเอ็มอีแบงก์
ผ่านไป 5 เดือนนับแต่สัญญาเช่ามีผลบังคับตามกฎหมาย เงินที่จะนำมาให้ชาวบ้านกู้เพื่อทำการประกอบอาชีพยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ เพราะสัญญาเป็นเพียงสัญญาเช่า ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะนำไปค้ำประกัน และยังไม่มีหน่วยงานใดที่จะเข้ามารับผิดชอบกรณีที่มีการผิดสัญญา ทางธนาคารเองก็ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้ชาวบ้านกู้เงิน
ใครได้ประโยชน์ ?
เดิมพื้นที่บริเวณหลังกิ่ง อ.ดอยหล่อมีสภาพเป็นป่า โดยหน่วยงานทหารพัฒนาที่ 3 เป็นผู้ดูแล และปล่อยให้ทิ้งร้างมาตลอด รัฐบาลหรือกระทรวงการคลังก็ไม่ได้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ แต่ภายหลังที่มีสัญญาเช่า เท่ากับว่าที่บริเวณนี้มีคนที่มีสิทธิเข้าทำประโยชน์และต้องเสียภาษีที่ดินให้กับกระทรวงการคลังทุกปี และที่สำคัญชาวบ้านต้องเสียค่าเช่าจากพื้นที่ตรงนี้ปีละ 70 บาทต่อไร่ ทั้งหมด
ดังนั้น ในปีแรกชาวบ้านต้องเสียค่าใช้จ่ายก่อนทั้งที่ยังไม่เห็นที่ดินเลย ประมาณ 940 บาทโดยในการให้สิทธิชาวบ้าน ในการเช่าที่ทั้งหมดประมาณ 905 ราย สรุปรวมในปีแรก ทางกระทรวงการคลังจะได้เงินประมาณ 850,700 บาท
จากพื้นที่ที่ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับกระทรวงการคลังเลยกลับมีค่าเกือบ 1,000,000 บาท และตลอดระยะเวลาเช่าที่ ทางกระทรวงการคลังจะได้เงินจากการเช่าที่ปีละประมาณ 190,050 บาท นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสิทธิในการเช่าที่ผู้ให้เช่าสามารถเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเช่าต่อได้และจะได้ค่าธรรมเนียมการเช่าเพิ่มขึ้น
ในส่วนของชาวบ้านนั้น ภายหลังได้สิทธิในการเช่ายังคงตั้งหน้าตั้งตารอทุนจากการนำสัญญาไปค้ำประกันเงินกู้ ปัจจุบันยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ บางส่วนยังคงสภาพป่าเหมือนเดิม ชาวบ้านบางส่วนมีการกู้เงินมาปรับสภาพพื้นที่ เฉลี่ยประมาณแปลงละ 3,000 บาท รวมทั้งหมดนับแต่ได้สัญญาเช่ามา ชาวบ้านหมดเงินไปแล้วประมาณ 4,000 กว่าบาทโดยที่ยังไม่เห็นเงาของดอกผลที่จะได้รับ
แม้ว่าชาวบ้านจะยังไม่ทราบรายละเอียด และข้อผูกมัดที่มีอยู่ในสัญญาเช่าอย่างละเอียดก็ตาม แต่อย่างน้อยภาพของการที่รัฐบาลจะจัดสรรที่ทำกินให้ ก็เป็นการเพิ่มความหวังให้หลุดพ้นจากสภาพปัญหาการไม่มีที่ดินทำกินของชาวบ้านจนทำให้ไม่สามารถที่จะหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ถึงแม้ว่าจะแลกมาด้วยการที่ชาวบ้านต้องตกอยู่ภาวะยากจนมากขึ้นก็ตาม คือเมื่อได้สัญญามาแล้วก็จะนำสัญญาที่ได้ไปเป็นหลักประกันในการกู้เงินและเป็นหนี้มากขึ้น
สัญญาที่ได้เป็นเพียงสัญญาเช่า ไม่ใช่สัญญา ซื้อ-ขาย หรือ สัญญาเช่าซื้อ
สัญญานี้ไม่ได้ให้โอกาสชาวบ้านเป็นเจ้าของที่ดินได้ มีเพียงหลักประกันว่าจะมีเงินจำนวนก้อนหนึ่งเท่านั้น เงินที่ทำให้ดำรงอยู่ชีวิตได้โดยไม่เดือดร้อนมากนักในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะมีเงินก้อนอื่น ๆ เข้ามา แม้ว่าเงินจำนวนนั้นจะหมายถึง การเพิ่มภาวะความยากจนและเป็นหนี้ก็ตาม แต่ด้วยความจำเป็นที่ต้องมีชีวิตอยู่ อยู่ด้วยความหวังที่จะหลุดพ้นจากสภาวะความยากจน ความยากลำบาก ทำให้ชาวบ้านยอมรับและอยากได้สัญญาเช่า
ในมุมมองของชาวบ้าน สัญญาเช่าจึงมีความหมายมากกว่าสิทธิในที่ดินทำกินหรือที่ทำกินนั่นเอง.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)