Skip to main content
sharethis

กรณีที่พล.อ.ปฐมพงษ์  เกษรศุกร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด แต่งเครื่องแบบเต็มยศขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นเวทีที่มีจุดยืนในการต่อต้านการทำงานของรัฐบาลอย่างชัดแจ้ง และพล.อ.ปฐมพงษ์ ระบุว่าได้ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ประธานองคมนตรี หรือแม้กระทั่งแกนนำพันธมิตรฯ


 


และอ้างว่า ได้ทำเอกสาร กห.0301(สน.ปธ.คปษ.ฯ)/124 จากประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เรื่องการรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน กรณีปราสาทพระวิหาร โดยในเอกสารได้มีการลงลายมือชื่อของ พล.อ.เปรม ในเอกสารดังกล่าวในที่ 21 มิ.ย. 51 เขียนข้อความว่า "เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างหนึ่ง" ลงลายเซ็น พล.อ.เปรม


 


ทำให้เกิดเป็นประเด็นขึ้นมาอีกครั้งว่าการทำหนังสือถึงประธานองคมนตรี มิใช่ในนาม พล.อ.เปรม เป็นการส่วนตัว มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะตำแหน่งประธานองคมนตรี มีการกำหนดกรอบบทบาทหน้าที่ไว้อย่างชัดเจน อีกทั้งเรื่องดังกล่าวยังสุ่มเสี่ยงต่อการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เสี่ยงต่อการกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงยังเสมือนเป็นการรับรองบทบาทของเวทีพันธมิตรฯ อีกด้วย นั้น


 


รศ.ดร.ศิลป์ ราศี นักวิชาการมหาวิทยาลัยศรีปทุม  กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เหมาะด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ กระทำการผิดวินัยทหาร เพราะการทำเรื่องขอร้องประการใดก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับประเทศเช่นนี้ต้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชา นั่นก็คือ นายสมัคร  สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ใช่เรียนมายังประธานองคมนตรีเช่นนี้


 


ประการที่สองกรณีที่มีการอ้างว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างหนึ่งของประธานองคมนตรีนั้น ตนไม่เชื่อว่าประธานองคมนตรีจะไม่ทราบว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นสมบัติของประเทศกัมพูชาตามคำสั่งศาลโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาดินแดนของไทยอย่างสุดกำลังแล้ว


 


นอกจากนี้ยังสามารถมองได้ว่าเป็นการพยายามปลุกปั่นสร้างกระแสอะไรต่อไปอีกหรือไม่ เพราะขณะนี้สถานการณ์แบ่งออกเป็น 2 ขั้วทางการเมือง ดังนั้นการที่กล่าวหรือให้ความสนับสนุนคำขอร้องของพล.อ.ปฐมพงษ์ จะเป็นการตอกลิ่มทางความคิดของประชาชนว่า ประธานองคมนตรีเป็นบุคคลสำคัญที่ขับเคลื่อนระบอบอำมาตยาธิปไตย ทั้งๆ ที่มีตำแหน่งเป็นถึงประธานองคมนตรีแต่กลับลงมายุ่งเกี่ยวทางการเมือง


 


"ประธานองคมนตรีเป็นผู้ใหญ่ การยุ่งเกี่ยวทางการเมือง อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดและไม่สบายใจกับการแสดงออกเช่นนี้ นอกจากนี้หากประธานองคมนตรีมีความจงรักภักดีในสถาบัน และบ้านเมืองจริง การที่กลุ่มพันธมิตรฯ พูดพาดพิงเบื้องสูงอยู่เสมอๆ ผมยังไม่เคยเห็นท่านออกมาปกป้องเลยสักครั้ง ดังนั้นการจะทำอะไรท่านต้องว่างตัวเป็นกลาง ไม่ต้องเกี่ยวข้องเลย ไม่เช่นนั้นประชาชนจะคิดได้ว่าท่านคือคนสำคัญในระบอบอำมาตยาธิปไตยจริงๆ"


 


ด้าน ดร.สุธาชัย  ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ส่วนตัวแล้วตนมองว่าประธานองคมนตรี หรือองคมนตรีก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วิเศษ สามารถออกความคิดเห็นได้ แต่ก็ควรเป็นในทางที่ถูกที่ควร โดยควรหันหน้ามาร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และควรร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างสันติวิธี และให้เกิดความราบรื่น


 


ทั้งนี้เรื่องปราสาทเขาพระวิหารที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกับองค์การยูเนสโกนั้น อันที่จริงแล้วไม่มีปัญหาอะไรมากเลย แต่กลุ่มพันธมิตรฯ นำมาเป็นเครื่องมือในการโจมตีทำให้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียด


 


ดังนั้น หากประธานองคมนตรี จะทำการช่วยเหลือประเทศชาติจริง ก็ควรจะทำการตักเตือน พล.อ.ปฐมพงษ์  และกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าให้ยุติการยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งจนอาจจะนำไปสู่สงครามดีกว่า ซึ่งทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก็ได้มีการออกแถลงการณ์คัดค้านความรุนแรงในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศแล้ว


 


ทางด้านนายวิภูแถลง  พัฒนภูมิไท แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) ระบุว่า กรณีที่ประธานองคมนตรีลงลายมือกำกับคำขอของพล.อ.ปฐมพงษ์ว่า เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างหนึ่ง เป็นการไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่งใน 3 ประการคือ ประการแรก ประธานองคมนตรีไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะแสดงความคิดเห็นอะไร แม้หากจะอ้างว่าเป็นสิทธิทางการแสดงความคิดเห็นก็ตาม


 


ประการต่อมา ตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อคณะองคมนตรีว่า มีหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์  ไม่มีหน้าที่มอบคำปรึกษาให้ผู้อื่น ชี้ให้เห็นว่าอาจเป็นการกระทำที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท


 


ส่วนประการสุดท้าย พล.อ.ปฐมพงษ์ เป็นบุคคลที่กระทำไม่ถูกต้องตามกาลเทศะ และไม่มีวินัยทางการทหารโดยการไม่เคารพผู้บังคับบัญชา เนื่องจากเรื่องที่เรียนไปยังประธานองคมนตรีคือ การรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน กรณีประสาทพระวิหารนั้น ทำให้เกิดความคลางแคลงว่าแท้ที่จริงแล้ว นายทหารท่านนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาใครกันแน่ นี่ไม่ใช่หน้าที่ของประธานองคมนตรี ดังนั้นจะเห็นได้ว่า นี่คืออำนาจนอกรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดความวิปริตที่มีความต้องการอะไรก็ไปทำเรื่องขอกับประธานองคมนตรี


 


"นี่เป็นความวิปริตทางปัญญาของผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดิน ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นว่านี่เป็นอำนาจนอกรัฐธรรมนูญอย่างที่ทุกคนทราบกัน อยากจะทำอะไรก็ไปขอองคมนตรี ซึ่งอันที่จริงไม่เกี่ยวข้องเลย หากต้องการจะช่วยจริงๆ ประธานองคมนตรีควรที่จะตักเตือน พล.อ.ปฐมพงษ์ ให้อยู่ในกรอบ และเลิกทำตัวผิดวินัยทหารเช่นนี้เสียที เพราะหลายครั้งแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นำกองทหารไปรับ นายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วก็เรื่องเขาพระวิหาร รวมทั้งเรื่องที่ขอผ่านมายังประธานองคมนตรี ทำให้เกิดความสับสนว่าใครกันแน่เป็นผู้บังคับบัญชาตัวจริง" นายวิภูแถลง กล่าว


 


รศ.ประสิทธิ์   ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตามหลักแล้วประธานองคมนตรีไม่ควรยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสม เพราะหากพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแล้ว ประธานองคมนตรีไม่มีอำนาจสั่งการหรืออนุมัติดังคำร้องที่พล.อ.ปฐมพงษ์ ทำเรื่องมา ทั้งนี้ประธานองคมนตรีก็ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง  เหมือนหวังเป็นการดึงผู้ใหญ่ลงมาเป็นแบ็กอัพให้กับตนเอง นอกจากนี้ประธานองคมนตรีมีหน้าที่ถวายคำปรึกษาแก่พระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น ไม่ควรกระทำอย่างอื่น


 


ส่วนกรณีที่มีการเขียนกำกับท้ายเอกสารคำร้องว่า "เป็นการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินอย่างหนึ่ง"นั้น รศ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ประธานองคมนตรีต้องแสดงความเป็นกลางทางการเมือง และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งนี้การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงที่มีการแตกแยกเป็นสองฝ่ายชัดเจนขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวล ประธานองคมนตรีควรทีจะระมัดระวังตัว เพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่ายังคงมีความยุ่งเกี่ยวทางการเมือง


 


"ส่วนตัว ผมคิดว่าไม่ควรยุ่งอีกแล้ว ประธานองคมนตรีและคณะ มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาแก่พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ว่ามีอำนาจอนุมัติ หรือสั่งการตามคำขอของทหารคนไหน ให้เรื่องเป็นไปตามหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรงดีที่สุด ไม่ใช่ลงมาเกี่ยวข้องทางการเมือง ซึ่งหากผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจะลงมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองจริง คุณต้องยอมรับคำวิจารณ์ได้นะ ไม่ใช่ว่าพอเอาเข้าจริงๆ บอกแตะไม่ได้ มันไม่ใช่ เพราะการเมืองเป็นเรื่องสกปรก มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างนี้แล้วหากมองในระยะยาวไม่ดี คนจะไม่ให้ความเคารพในที่สุด ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยดีกว่า" รศ.ประสิทธิ์ กล่าว


 


ที่มา: เรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net