Skip to main content
sharethis

ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.) , นายปริญญา นาคฉัตรีย์ , นายวีระชัย แนวบุญเนียร อดีต กกต. เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2541 มาตรา 24 และ 42



 


กรณีที่ไม่เร่งสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ข้อร้องเรียนกล่าวหาพรรคไทยรักไทย ว่าจ้างพรรคการแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.2549 โดยพลัน ตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ.2542 มาตรา 37 ,48 จำเลยให้การปฏิเสธ



คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2549 ให้จำคุกจำเลยทั้ง 3 คนละ 3 ปี อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่พวกจำเลยนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี พร้อมกับเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 10 ปี จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ศาลยกฟ้องและบรรเทาโทษลงด้วย



 


ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ร้องเรียนกับจำเลยทั้ง 3 เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2549 ว่าพรรคไทยรักไทย ว่าจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นพรรคขนาดเล็ก ให้ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 2 เม.ย.2549 โดยจำเลยทั้ง 3 ได้แต่งตั้งให้นายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธานคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน ซึ่งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนได้สอบสวนพยานและประชุมร่วมกันหลายครั้ง โดยครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 เม.ย.2549 คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำรายงานสรุปข้อเท็จจริง และมีความเห็นให้แจ้งข้อกล่าวหากับผู้ที่เกี่ยวข้อง ต่อมาจำเลยทั้งสาม มีคำสั่งให้คณะอนุกรรมการทำการสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม ในส่วนของพรรคไทยรักไทยอีก 15 ปาก ซึ่งคณะอนุกรรมการ สอบสวนเพิ่มเติม และประชุมสรุปความเห็นแล้วมีมติเช่นเดิม



 


ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงจากรายงานผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการพบว่า ปลายเดือน ก.พ.2549 นายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ นายธีระชัย หรือต้อย จุลพัฒน์ นายชวการ โตสวัสดิ์ คนสนิทของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม (ขณะนั้น) ได้ติดต่อหาพรรคการเมืองเข้าลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อเลี่ยงการได้คะแนนเสียงน้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ในเขตที่มีผู้สมัครเพียงพรรคเดียว จนมีการติดต่อพรรคแผ่นดินไทย และพรรคพัฒนาชาติไทย ลงสมัคร โดยมีการแก้ไขคุณสมบัติของสมาชิก เพื่อให้สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งได้



 


นอกจากนี้ โจทก์ยังมีหลักฐานเชื่อมโยงเป็นภาพถ่ายขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคขนาดเล็กเข้าไปพบ พล.อ.ธรรมรักษ์ ที่กระทรวงกลาโหม ทั้งจำเลยทั้ง 3 ยังเปิดโอกาสให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถย้ายเขตเลือกตั้งได้ กระทั่งศาลฎีกา มีคำวินิจฉัยที่ 2752/2549 และ 7752/2549 ว่าเป็นการลงสมัครรับเลือกตั้งที่ไม่ชอบ ให้ตัดสิทธิของผู้สมัคร ซึ่งจำเลยทั้งสาม แจ้งข้อกล่าวหากับพรรคไทยรักไทย แต่กลับให้สอบสวนเพิ่มเติม โดยอ้างว่า หลักฐานไม่เชื่อมโยง และเป็นความเห็นส่วนตัวของนายนาม ยิ้มแย้ม เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงและการวินิจฉัย พ.ศ.2542



 


ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 3 ขอบรรเทาโทษด้วยโดยอ้างว่า ได้ประกอบคุณงามความดี และมีโรคประจำตัว ศาลเห็นว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่งคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ไม่มีลักษณะต้องห้าม ผ่านการคัดเลือกจากวุฒิสภา แทนที่พวกจำเลย จะใช้ประสบการณ์ที่มีอยู่ เข้ามาดำเนินการจัดการเลือกตั้งให้มีความเป็นกลาง โปร่งใสและบริสุทธิ์ ยุติธรรม เพื่อให้เกิดความสันติสุขในบ้านเมือง ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่พวกจำเลยหาได้สำนึกไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยขอให้ศาลปรานีนั้นจึงไม่เป็นเหตุให้ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว พิพากษายืน



 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จำเลยทั้ง 3 คน เดินทางมาฟังคำพิพากษาองศาลอุทธรณ์ พร้อมคณะติดตามด้วยสีหน้าเงียบขรึม ท่าทางนิ่งเฉย โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ หลังจากนั้นญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 1.2 แสนบาท ขอประกันตัวระหว่างฎีกา โดยศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้จำเลยทั้ง 3 ประกันตัวไป



 


ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2551 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้จำคุก พล.ต.อ.วาสนา , นายปริญญา และนายวีระชัย คนละ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดคนละ 10 ปี ในคดีที่ นายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปไตย เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้ง 3 กรณีจัดการเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขตรอบใหม่ โดยไม่มีอำนาจ และการออกหนังสือเวียนถึง ผอ.กต.เขต ให้รับผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนสมัครใหม่



ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ        

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net