Skip to main content
sharethis

 


 


 


การเมือง


 


 


"วัฒนา อัศวเหม"  เบี้ยวขึ้นศาลฎีกานักการเมือง ไต่สวนจำเลยนัดแรกคดีทุจริตคลองด่าน


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง วันที่ 28 มี.ค.51 ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีดำ อม.2/2550 พร้อมองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานจำเลยครั้งแรก คดีที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวัฒนา อัศวเหม อดีต รมช.มหาดไทย  และประธานพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และ 157 ในการใช้อำนาจข่มขู่ หรือชักจูงใจให้ผู้อื่นร่วมออกโฉนดที่ดิน 1,900 ไร่ ทับที่คลองสาธารณะประโยชน์ และที่เทขยะมูลฝอยซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้าม เพื่อขายให้กรมควบคุมมลพิษ ก่อสร้างโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ  จ.สมุทรปราการ


 


นายไพบูลย์ โพธิ์น้อย ทนายความนายวัฒนา จำเลย  ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี เนื่องจาก นายวัฒนา จำเลย อ้างเหตุป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ส่วนพยานปากอื่นที่เตรียมมาไต่สวน คือ นายมั่น พัธโนทัย รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ติดราชการสำคัญซึ่งคณะรัฐมนตรี ( ครม.) มีกำหนดการเข้าร่วมพิธียกเสาพระเมรุ ที่จะใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จึงไม่อาจมาศาลได้ สำหรับนายพินิจ จารุสมบัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พยานอีกปากนั้นทนายจำเลยไม่ติดใจขอให้ไต่สวน


 


องค์คณะสอบถามอัยการโจทก์แล้วไม่คัดค้าน พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุสมควรเพื่อให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ จึงอนุญาตให้เลื่อนคดีไปนัดไต่สวนพยานจำเลยในวันที่ 2 เม.ย. นี้ เวลา 9.30 น. อย่างไรก็ดีศาลได้กำชับทนายจำเลยว่าในการไต่สวน นายวัฒนาจำเลย นั้นให้ทนายความซักถามรายละเอียดจำเลยในประเด็นที่ไม่ซ้ำกับที่คำให้การที่ปรากฏในสำนวนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) โดยให้ซักถามพยานให้ตรงประเด็นเพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาคดี พร้อมทั้งกำชับให้ทนายความจำเลยเตรียมพยานให้มาพร้อมไต่สวนทุกนัด มิฉะนั้นศาลจะพิจารณางดไต่สวนพยานที่ไม่มาศาล


 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการไต่สวนพยานนั้น ศาลฎีกา ฯ กำหนดให้ฝ่ายจำเลย นำพยานเข้าไต่สวนรวม 5 นัด คือวันที่ 28 มี.ค.  และ 2 ,8,11 และ 17 เม.ย. เป็นวันสุดท้าย


 


 


ปธ.วุฒิรับลูกถอดถอน"ไชยา"


ผู้จัดการรายวัน - วานนี้ (28มี.ค.) ที่อาคารรัฐสภา นางสาวสารี อ๋องสมหวัง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้เดินทางมาแสดงตนเพื่อดำเนินการรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 20,000 รายชื่อ ในการถอดถอนนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข ต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา


 


นายประสพสุขกล่าวว่า ขอยืนยันว่าวุฒิสภาจะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้ และจะดำเนินการอย่างโปร่งใสและรวดเร็ว ทั้งนี้เรื่องนี้จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด หากนางสาวสารี มีการส่งรายชื่อประชาชนมา ทางวุฒิสภาก็จะใช้เวลาในการตรวจสอบภายใน 10 วัน ซึ่งจะทำควบคู่กับการที่จะส่งรายชื่อของประชาชนให้สำนักบริหารทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะใช้เวลาอีก 25 วัน ก็สามารถส่งเรื่องให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้


 


ต่อมาเมื่อเวลา 9.30 น. พันเอกธัชรักษ์ ชัยชนะ ผู้แทนพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ประธานแจกันดอกไม้แด่นายประสพสุข ในโอกาสที่ได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นประธานวุฒิสภา


 


ภายหลังจากการรับมอบแจกันดอกไม้ นายประสพสุข กล่าวว่า รู้สึกปราบปลื้มในพระกรุณาธิคุณของพระองค์ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้ตนมีกำลังใจในการทำงานเป็นอย่างมาก จะทำงานเพื่อประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์


 


 


วุฒิสภาตั้ง กมธ.ตรวจสอบประวัติตุลาการ


เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - วุฒิสภาตั้ง กรรมาธิการตรวจสอบประวัติตุลาการศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ คณะละ 17 คน



นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาเรื่องด่วนตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลปกครองสูงสุด 4 คน  ได้แก่ นายวิษณุ วรัญญู นายนพดล เฮงเจริญ นายวรวิทย์ กังศศิเทียม นายวราวุธ ศิริยุทธ์วัฒนา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 121 โดยที่ประชุมมีมติให้ตั้ง กมธ.จำนวน 17 คน อาทิ พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ ส.ว.สรรหา และกำหนดเวลาการทำงาน 30 วัน


 


นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ 4 คน ได้แก่ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายจรัญ ภักดีธนากุล นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 121 จำนวน 17 คน อาทิ นางจิราวรรณ จงสุทธนามณี วัฒนศิริธร ส.ว.เชียงราย นายวรวิทย์ บารู ส.ว.ปัตตานี นายธวัช บวรวนิชยกูร นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา กำหนดเวลาการทำงาน 20 วัน เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบภายใน 30 วัน หลังจากที่ได้รับรายชื่อจากคณะกรรมการสรรหา ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 206 (2) บัญญัติ คือวันที่ 23 เม.ย. 2550


 


 


สปสช. เตรียมเสนอ ครม.อนุมัติงบแสนล้าน เดินหน้าโครงการบัตรทอง ทั้งค่ารักษารายหัว-กองทุนเอดส์-กองทุนผู้ป่วยโรคไต


เว็บไซต์แนวหน้า - ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) - นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)  กล่าวภายหลังการประชุมว่า ในวันนี้(28 มี.ค.) สปสช.ได้เสนออัตราเหมาจ่ายรายหัวในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2552 ตามที่คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการเงินการคลัง ซึ่ง ดร.อัมมาร สยามวาลา เป็นประธานอนุกรรมการ ได้เสนองบในอัตราเหมาจ่ายที่ 2,312.48 บาทต่อประชากร จากการประมาณการประชากรในระบบ 47,026,859 ราย เพิ่มขึ้นจากงบปี 2551 จำนวนร้อยละ 10.1 นอกจากนี้ยังมีการพิจารณางบประมาณในอีก 2 กองทุน ที่แยกจากงบเหมาจ่ายรายหัว คือ กองทุนบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 2,983.8 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 51 ประมาณ 1,400 ล้านบาท เนื่องมาจากราคายาที่ลดลงจากการทำซีแอลยาเอดส์ และกองทุนบริการทดแทนไตสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จำนวน 1,530.1 ล้านบาท เมื่อรวมทั้ง 3 กองทุนข้างต้น จะเป็นงบประมาณจำนวน 113,262.5 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป


 


"แนวทางจัดทำงบประมาณทั้ง 3 กองทุนนั้น ให้ความสำคัญต่อการเพิ่มคุณภาพบริการ สนับสนุนบริการที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาสุขภาพระยะยาว ยึดขอบเขตการให้บริการตามสิทธิประโยชน์ และประมาณการค่าใช้จ่ายให้พอเพียงต่อการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยไม่มีการอุดหนุนข้ามระบบ"นายไชยากล่าว


 


ต่อข้อซักถามว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาในส่วนงบบริหารหรือไม่  นายไชยา กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้เพิ่มงบบริหารจาก 800 ล้าน เป็น 1,300 ล้านบาท สาเหตุที่ต้องเพิ่ม เนื่องจากมีอัตรากำลังเพิ่มขึ้น รวมถึงการจัดและบริหารระบบบริการที่ต้องมีเทคโนโลยีเพิ่ม ทั้งนี้ตนไม่ได้มีการคัดค้านแต่อย่างใด หลังจากรับฟังการชี้แจง ส่วนกรณีการเสนอลงเบี้ยประชุมของบอร์ด สปสช. นั้น ยังคงเป็นไปตามที่ตนเสนอ ไม่ได้มีการคัดค้านแต่อย่างใด เพียงที่ประชุมให้ตนเป็นผู้พิจารณาปรับลดให้เหมาะสม แต่ตนเสนอกลับให้กรรมการร่วมพิจารณา สำหรับของตนนั้นขอเบี้ยประชุมเพียงแค่ 3,000 บาทก็พอ จากเดิมที่กำหนดไว้ 15,000 บาท


 


นายไชยา กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้บอร์ดยังมีการหารือถึงปัญหาสาธารณสุขในชนกลุ่มน้อยตามแนวตะเข็บชายแดน ที่ไม่มีบัตรประชาชน คาดว่ามีจำนวนถึง 700,000-800,000 คน ทำให้ไม่สามารถบรรจุเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเบิกจ่ายงบ แต่ยังคงเป็นภาระงบประมาณรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลนั้นๆ  เพราะต้องให้การรักษาตามจรรยาบรรณแพทย์ โดยส่วนใหญ่มาด้วยอาการป่วยโรคติดต่อ อาทิ มาลาเลีย เท้าช้าง และท้องร่วง ซึ่งในภาพร่วมมีค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลคนกลุ่มนี้หลายร้อยล้านบาทต่อปี เรื่องนี้คงต้องนำหารือนอกรอบก่อนนำเสนอที่ประชุม ครม.เพื่อขออนุมัติงบประมาณสนับสนุนเพิ่ม


 


ด้าน นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า งบเหมาจ่ายรายหัวปี 2552 ที่แตกต่างจากปี 2551 นอกจากการเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อแล้ว ยังมีประกอบด้วย 1.งบบริการผู้ป่วยนอกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น 2.การเพิ่มงบเพื่อการเข้าถึงบริการในบางโรค เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง การผ่าตัดตาต้อกระจก โรคฮีโมฟีเลีย การจัดฟันในกลุ่มปากแหว่งเพดานโหว่ และการควบคุมการกินยาวัณโรค 3.การเพิ่มกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยการตรวจมะเร็งปากมดลูก การทำความสะอาดฟันและทาฟลูออไรด์เฉพาะที่ 4.การเพิ่มความครอบคลุมการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินและการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ 5.การของบเพิ่มเติมสำหรับการช่วยเหลือความเสียหายทางการแพทย์ และ 6.การของบเพิ่มสำหรับงบสนับสนุนตามคุณภาพบริการ หรือโครงการทำดีได้ดี


 


ส่วนงบประมาณในกองทุนโรคไตนั้น ปี 2552 เป็นปีแรกที่ได้ขอตั้งงบประมาณ เนื่องจากเป็นชุดสิทธิประโยชน์ใหม่ และปี 2551 ที่เริ่มมีชุดสิทธิประโยชน์ได้ใช้งบของกองทุนเอดส์ ที่มีงบประมาณเหลือจากการทำซีแอล โดยเป้าหมายการบริการสำหรับโรคไตวายเรื้อรังในบัตรทองสำหรับปี 2552 ประมาณการว่าจะมีหน่วยบริการดำเนินการได้ทั่วประเทศ 100 แห่ง และสามารถให้บริการเฉลี่ยแห่งละ 30 ราย คาดว่าทั้งปี 2552 จะสามารถให้บริการล้างไตผ่านทางช่องท้อง 3,000 ราย นอกจากนั้นยังครอบคลุมเรื่องการปลูกถ่ายไต และการชะลอการเกิดภาวะไตวายระยะสุดท้ายสำหรับผู้ป่วยไตวายระยะเริ่มต้น เพื่อลดงบประมาณในระยะยาวด้วย


 


 


กลาโหมของบเพิ่ม ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ


สำนักข่าวไทย - ที่ประชุมสภากลาโหมเสนอของบประมาณเพิ่มเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเรื่องสิทธิ ประโยชน์และสวัสดิการ เพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์กำลังพลให้ดีขึ้น หลัง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มีผลบังคับใช้ และยังให้ปรับลดนายทหารชั้นนายพลตำแหน่งประจำ ปีละ5%


 


พล.ต.พีระ พงษ์ มานะกิจ รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ว่าที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับบทบาทควบคุมกำกับดูแลนโยบายด้านความมั่นคง ให้เป็นรูปธรรม หลังจากที่พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และยังไม่มีการกำหนดหน่วยที่รับผิดชอบการประสานปฏิบัติการควบคุมกำกับดูแล การปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจึงให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมทำหน้าที่ดัง กล่าว โดยพิจารณากำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา กฎ ระเบียบอื่น ๆ ต่อไป


 


รองโฆษก กระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ซึ่งส่งผลดีต่อกำลังพล โดยเฉพาะเรื่องสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ แต่ก็ก่อให้เกิดผลกระทบต่องบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่จะต้องมีการปรับปรุง สร้างสิทธิประโยชน์ของกำลังพลให้ดีขึ้น โดยเฉพาะทหารกองประจำการที่จะได้รับเงินเพิ่มพิเศษมากขึ้นเท่ากับค่าแรง ขั้นต่ำ รวมถึงข้าราชการชั้นผู้น้อยอื่น ๆ ด้วย ทำให้กระทรวงกลาโหมต้องใช้งบประมาณเพิ่มมากขึ้นประมาณ 5,000 ล้านบาท ที่ประชุมจึงเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมผ่านไปยังรัฐบาลเพื่อขอ สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้เป็น 1.8% ของจีดีพี จากเดิมที่เคยได้เพียง 1.5% ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเห็นชอบและสนับสนุนผลักดัน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รู้สึกตกใจที่กระทรวงกลาโหมของไทยได้งบประมาณจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ เช่น สิงคโปร์ได้ 5% ของจีดีพี ขณะที่ฟิลิปปินส์ซึ่งมีเศรษฐกิจระดับใกล้เคียงกับไทย ก็ยังได้งบประมาณ 2%ของจีดีพี


 


พล.ต.พีระพงษ์ กล่าวว่า ในส่วนของโครงการจัดซื้อรถหุ้มเกาะจากประเทศยูเครน ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการต่อจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา หลังจากที่กองทัพบกได้ชี้แจงต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจนชัดเจน ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในขั้นตอนของกองบัญชาการกองทัพไทยที่จะต้องส่งให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พิจารณาอนุมัติในโอกาสต่อไป นอกจากนี้ที่ประชุมสภากลาโหมยังมีมติให้ปรับลดนายทหารชั้นนายพล ตำแหน่งประจำ ปีละ 5% โดยเมื่อมีการปรับลดในแต่ละปี ในส่วนที่เหลือก็จะพยายามจัดให้เข้าสู่ระบบการทำงาน นอกจากนี้ วิธีการดำเนินการอีกอย่างหนึ่งคือ การไม่บรรจุเพิ่ม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องดัง กล่าวต่อไป .


 


 


มท.1อนุมัติ"อภิรักษ์"ลากิจอีก 15 วัน


เว็บไซต์เดลินิวส์ - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ได้ลงนามอนุมัติใบลากิจของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่ากมท.ที่ถูกคตส.ชี้มูลความผิดเรื่องการทุจริตรถดับเพลิงออกไปอีก 15 วัน อันเป็นการลาครั้งที่สอง มีระยะเวลา 28 มีนาคม-11 เมษายนนี้ โดยนายอภิรักษ์ได้ชี้แจงรายละเอียดในหนังสือใบลากิจว่าตามที่คตส.ได้แจ้งข้อกล่าวหาเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิงฯจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับคตส.จึงมีความจำเป็นต้องเตรียมการเพื่อเข้าชี้แจงซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการ 30 วัน เพื่อเตรียมรวบรวมข้อเท็จจริงตลอดจนพยานหลักฐานที่จะใช้ประกอบการชี้แจงข้อกล่าวหาแต่การดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จเนื่องจากมีรายละเอียดข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานจำนวนมากที่ต้องจัดเตรียมจึงต้องใช้เวลาดำเนินการอีกระยะหนึ่งประกอบกับยังไม่ถึงขั้นตอนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเข้ารับทราบข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการกับคณะอนุกรรมารไต่สวนคดีทุจริตรถดับเพลิงของคตส.ในระหว่างที่ขออนุญาตลากิจนี้ ได้มอบหมายให้นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่ากทม.ลำดับที่ 1 เป็นผู้รักษาราชการแทนตามมาตรา 81 แห่งพรบ.ระเบียบบริหารราชการกทม.พ.ศ.2528 โดยการขออนุญาตลากิจครั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนและก่อให้เกิดความเสียหายในทางราชการแก่กทม.


 


 


เผย "ทักษิณ" กลับไทย 30 มี.ค.นี้


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นางสาวศันสนีย์ นาคพงษ์ โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ ถึงประเทศไทย ในเวลา 15.55 น. ของวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคมนี้ โดยเครื่องบินสายการบินไทย และจะไปร่วมงานการประกาศรายชื่อการคัดเลือกฟุตบอลเยาวชนไทย ที่ผ่านการคัดเลือกตามโครงการมูลนิธิไทยคม เปิดประสบการณ์ พาเยาวชนไทย ไปสู่ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เมืองทองธานี ในช่วงเย็นวันเดียวกัน


 


 


 


เศรษฐกิจ


 


 


รัฐบาลกระจายเงินเอสเอ็มแอล 9,500 ล้าน 24 เม.ย.นี้ คาดเงินหมุนเวียน 1.97 เท่า


สำนักข่าวไทย - นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (เอสเอ็มแอล) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้เห็นชอบกำหนดวันเปิดตัวเอสเอ็มแอลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 เม.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะมีการเซ็นบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) ระหว่าง 9 หน่วยงานที่เป็นภาคีร่วมกันดำเนินโครงการ


 


และในวันที่ 24 เม.ย. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเป็นประธานกดปุ่มโอนเงินจากงบประมาณ จำนวน 9,500 ล้านบาท ให้กับหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ จำนวน 78,358 หมู่บ้านทั่วประเทศ นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งทำประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนรับทราบวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนของโครงการฯ ว่าจะเกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด โดยจะไม่มีการใช้เงินงบประมาณเข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด


 


รายงานข่าว จากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า ขณะนี้มีหมู่บ้านและชุมชนกว่า 35,000-36,000 หมู่บ้านทั่วประเทศ ที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองตามแนวทางของเอสเอ็มแอล โดยหมู่บ้านใดที่ได้รับงบประมาณจากโครงการอยู่ดีมีสุขมาแล้ว ก็สามารถรับการจัดสรรตามโครงการเอสเอ็มแอลได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของหมู่บ้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับหมู่บ้านได้รับเงินงบประมาณ เพื่อพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านตนเองมากขึ้น โดยการอัดฉีดเงินงบประมาณในโครงการเอสเอ็มแอลนี้ จะช่วยทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอีก 1.97 เท่าของวงเงินงบประมาณที่อัดฉีด โดยในสัปดาห์หน้าจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติสำหรับโครงการเอ สเอ็มแอลที่ชัดเจนต่อไป.


 


 


มาตรการลดภาษี/ค่าธรรมเนียม กระตุ้นอสังหาฯ มีผลพรุ่งนี้


เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ - นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ เหลือ 0.1% จากเดิม 3.3% เป็นเวลา 1 ปี จะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ (29 มี.ค.) หลังได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ววันนี้


 


ส่วนการลดค่าจดทะเบียนการโอน และจดจำนอง เหลือ 0.01% นั้น นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เคยให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากการลดภาษีธุรกิจเฉพาะได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วกระทรวง มหาดไทยก็พร้อมจะออกประกาศในเรื่องดังกล่าวได้ทันที


 


ในวันนี้ ยังได้มีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันนพรุ่งนี้เช่นกันในเรื่องของ การยกเว้นการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้มีรายได้สุทธิไม่ถึง 1.5 แสนบาทต่อปี


 


การยกเว้น และลดภาษีเงินได้ สำหรับกำไรของบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท (SMEs) โดยจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับกำไรสุทธิ ในส่วนที่ไม่เกิน 1.5 แสนบาท และลดอัตราภาษีเงินได้เหลือ 15% สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 1.5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท และจัดเก็บในอัตรา 25% สำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาท


 


 


ชง ครม.พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาปุ๋ยแพง 1เม.ย.


เว็บไซต์เดลินิวส์ - นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคาปุ๋ยแพง ว่า ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาปุ๋ยแพงทั้งหมดแล้ว โดยมี 3-4 แนวทาง แต่ต้องนำเสนอให้ที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบให้ชัดเจนในวันที่ 1 เม.ย.ก่อนจะประกาศอย่างเป็นทางการต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์ต้องไปหารือกับบรรดาผู้นำเข้าปุ๋ยทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนว่าจะลดราคาลงได้มากน้อยเพียงใด หากไม่สามารถตกลงกันได้ภาครัฐก็ต้องนำเข้าปุ๋ยมาจำหน่ายให้กับเกษตรกรแทน แต่ต้องเป็นแนวทางสุดท้ายของการแก้ไขปัญหาเท่านั้น


 


 


 


ต่างประเทศ


 


 


2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่สั่งเข้มงวดการส่งออกข้าว


สำนักข่าวไทย - ฮานอย, นิวเดลี, เวียดนามและอินเดีย 2 ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ กล่าวว่า จะควบคุมการส่งออกข้าวไปต่างประเทศ ขณะที่ราคาอาหารกำลังแพงขึ้น


 


เวียดนามยืนยันว่า จะลดปริมาณการส่งออกข้าวลงร้อยละ 22 ในปีนี้ ขณะที่อินเดียจะขึ้นราคาขายข้าวส่งออกขั้นต่ำอีกกว่าร้อยละ 50 นับเป็นมาตรการล่าสุดที่รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ นำมาใช้ รวมทั้งรัฐบาลฟิลิปปินส์และอียิปต์ เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณข้าวเพียงพอสำหรับเลี้ยงประชาชนในประเทศ ขณะที่สตอกข้าวโลกลดลง และราคาพุ่งสูงขึ้น 2 เท่า ในรอบหลายปี


 


ราคาข้าวในเวียดนามขยับขึ้นเกือบร้อยละ 20 เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา นับว่าสูงสุดในรอบกว่า 12 ปี ขณะที่ราคาข้าวขายส่งของอินเดียพุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 14 เดือน ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังชะลอตัว เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก จะจำกัดการส่งออกข้าวเหลือ 3.5 ล้านตัน ลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งมีจำนวนถึง 4.5 ล้านตัน ทั้งนี้ เพื่อทำให้ราคามีเสถียรภาพ


 


 


กัมพูชายินดีรื้อฟื้นการเจรจากับไทยเรื่องแหล่งน้ำมันในดินแดนพิพาท


สำนักข่าวไทย -  พนมเปญ - เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชา เปิดเผยว่า กัมพูชายินดีที่จะรื้อฟื้นการเจรจากับประเทศไทย เกี่ยวกับส่วนแบ่งในแหล่งพลังงานนอกชายฝั่งอ่าวไทยที่กำลังเป็นข้อพิพาท


 


การ เจรจาเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 2538 แต่จนถึงขณะนี้ ผู้นำของประเทศทั้งสองก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของการปิโตรเลียมกัมพูชา กล่าวคาดหวังว่า การเจรจาอาจเริ่มขึ้นใหม่ในเดือนหน้า ทั้งนี้ กัมพูชาต้องการที่จะแบ่งพื้นที่ในอัตราส่วน 50 : 50 ขณะที่ไทยต้องการส่วนแบ่งมากกว่านั้น ผู้บริหารการปิโตรเลียมกัมพูชา กล่าวด้วยว่า กัมพูชาคาดว่าจะเริ่มผลิตน้ำมันจากแหล่งนอกชายฝั่งของตนเองได้ในปี 2554


 


 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net