Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


ภฤศ ปฐมทัศน์


 


ในช่วงเวลาหลังตะวันลับขอบฟ้าไป ความมืดก็เผยให้เห็นหมู่ดาวและดวงจันทร์อันสงบเสงี่ยมเงียบงัน หลายคนอาจจะชอบความเงียบสงบนี้ เพราะมันมีส่วนช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณ ปลุกปั้นความคิดคำนึง ในขณะเดียวกันความเงียบที่มากเกินไปก็ทำให้ความซึมเซาชำแรกผ่านเข้ามาแทนที่ได้ ผมยังเป็นหนึ่งในผู้คนที่โหยหาสรรพเสียง จึงได้เลือกเสียงดนตรีมาเป็นเพื่อนยามยากในการอยู่ร่วมกับราตรี


 


จนกระทั่ง ผมได้มีโอกาสพบกับงานเพลงที่ทำให้ความเงียบกับสรรพเสียง...กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน


 



 


ย้อนไปเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วในประเทศอังกฤษ เด็กหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องเรียน เขากำลังคิดเนื้อเพลงบรรทัดต่อไป การศึกษาอาจจะดีสำหรับบางคน แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน บางครั้งเขาก็ลบเสียงอาจารย์ในห้องทิ้งแล้วแทนมันด้วยเสียงกีต้าร์อะคูสติกส์ที่เขาเพิ่งซื้อมาลองเล่น จินตนาการเสียงกีต้าร์ที่จูนในรูปแบบอื่น และเทคนิคพิกกิ้งที่เขาจะกลับไปลองในคืนนี้


 


ใบไม้นอกหน้าต่างร่วงกราวลงมาพร้อมกันห้าใบ เขามองตามใบไม้นั่นลงไปจนมันร่อนจอดบนผืนหญ้า เขาเห็นเด็กสองคนใต้ต้นไม้ เด็กผู้ชายชื่อโจอี้ กับเด็กผู้หญิงชื่อเจน ทั้งคู่กำลังเถียงกันว่า "ศิลปะควรจะมาพร้อมกับเรื่องปากท้องความอยู่รอดหรือเปล่า" ฝ่ายเด็กผู้หญิงในชุดกระโปรงผ้าดูมีราคา พูดถึงศิลปินมากมายหลากหลายที่เสียชีวิตไปก่อนที่ผลงานจะได้รับการยอมรับ


 


ฝ่ายเด็กผู้ชายเสื้อผ้าซอมซ่อนั่งห่อตัวดูดนิ้ว บอกว่านั่นมันเจ็บปวดเกินไป พวกเขาควรจะหาเลี้ยงปากท้องเสียก่อน ถึงค่อยสนใจเรื่องศิลปะจริงจัง เด็กหญิงเจนยังคงส่ายหัวไปมาไม่เห็นด้วย พูดด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมว่า ยังไงซะผู้ที่เรียกตัวเองว่าศิลปินก็ควรจะเสียสละอย่างเต็มที่เพื่อศิลปะ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพ่อค้าที่ทำทุกอย่างเพื่อรายได้ของตัวเอง


 


ขณะที่เด็กชายโจอี้กำลังจะเอ่ยปากเถียง  แต่...เด็กหญิงเจนสะบัดกระโปรงเดินลับไปเสียแล้ว เด็กชายโจอี้คราวนี้ทั้งดูดนิ้วและกัดเล็บด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง


 


หารู้ไม่ว่าชายผู้หนึ่งที่กำลังมองดูทุกสิ่งทุกอย่างจากทางหน้าต่าง กำลังยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก พร้อมทั้งพับกระดาษเนื้อเพลงที่เขียนค้างไว้ เอาไปสอดระหว่างหน้าสมุด จากนั้นเขาก็ฉีกกระดาษอีกแผ่นออกมา เขียนไว้ที่มุมบนตัวโต ๆ ว่า "Joey"


 


000


 


Nick Drake เริ่มสนใจในดนตรีตั้งแต่เรียนอยู่ในโรงเรียน เรื่อยมาจนถึงขณะที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย อาจารย์เขามักจะบอกว่า เขาเป็นคนฉลาด แต่ไม่ค่อยกระตือรือร้น ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียน เขาเป็นคนที่มีอะไรบางอย่างในตัวทำให้ดูลึกลับ ไม่ค่อยชอบสร้างสัมพันธ์หรือหาเพื่อนใหม่ เขามักจะขลุกอยู่กับกลุ่มเพื่อนเก่า หรือไม่ก็เพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน


 


ในเวลาต่อมา Drake ก็ได้ให้ความสนใจกับดนตรี Folk ทั้งของอังกฤษและอเมริกันเป็นพิเศษ ช่วงที่เขาเรียนอยู่ที่เคมบริดจ์และพักอาศัยอยู่กับพี่สาวนั้น เขาได้ออกตระเวนเล่น support วงอื่นๆ ตาม คลับ บาร์ ไม่ก็ร้านกาแฟแถวๆ นั้น จนกระทั่งวันหนึ่งขณะกำลังเล่นอยู่ที่ The Roundhouse เขาก็ได้ทำให้ Ashley Hutching มือเบสแห่งวง Fairport Convention รู้สึกประทับใจ และแนะนำเขาให้กับโปรดิวเซอร์ที่ชื่อ Joe Boyd ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้ทำงานร่วมกัน จนมีผลงานออกมาในชื่อ Five Leaves Left ซึ่งได้รับคำชมจากนักวิจารณ์บางส่วน แต่ทำได้ไม่ดีนักในแง่ของยอดขายและความนิยม


 


หลังจากนั้น Nick Drake จึงได้ออกจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กลางคัน ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะออกเดินทาง เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่เขารัก


 



 


ชายหนุ่มลุกตื่นขึ้นเมื่อแสงจากหน้าต่างลอดเข้ามาแยงตา เขาพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนพื้นห้องของเพื่อนคนหนึ่ง ได้สติแล้วก็ลุกขึ้นคว้ากีต้าร์ที่วางพิงอยู่มานั่งแต่งเพลงต่อ มองดูจานอาหารเช้าง่ายๆ วางเย็นชืดอยู่บนโต๊ะ กระดาษเขียนโน้ตและเนื้อเพลงวางกระจัดกระจาย มีที่เขี่ยบุหรี่ว่างเปล่าวางทับอยู่ เมื่อคืนนี้กำลังจะพูดถึงอะไรนะ ยุคของเพลงประท้วงที่โหมพัดได้แผ่วเบาจืดจางลงเรื่อยๆ พร้อมกับจิตวิญญาณที่อ่อนแรงของเหล่าบุปผาชน


 


บางคนในเวลานี้สนเพียงแค่จะหากัญชาจากที่ไหนได้เท่านั้น ดอกไม้ที่ทัดหูกลายเป็นแฟชั่น การต่อสู้แปรเปลี่ยนเป็นการหลบลี้สู่โลกส่วนตัว ขณะที่เขากำลังนั่งเกากีต้าร์ค้นหาแรงบันดาลใจอยู่นั้นเอง แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านฝุ่นจับเข้ามาได้ดึงให้เขานึกถึงข่าวพยากรณ์อากาศเมื่อคืน ผู้สื่อข่าวพูดออกเสียงคำว่า Brighter Later ซึ่งแปลว่า "สว่างไสวในกาลต่อมา" แต่เขาได้ยินเป็น Bryter Layter และด้วยแรงผลักดันบางอย่างจากคำๆ นี้ เขาก็วางกีต้าร์ลง ลุกขึ้นออกไปเดินข้างนอก


 


เขาพาร่างสูงๆ ของตัวเองย่ำไปตามทางเท้า แสงแดดและสรรพเสียงจากโลกภายนอกน่าจะทำให้พลังสร้างสรรค์ของเขากลับมาบ้าง พลันเขาสะดุดตากับเด็กชายซอมซ่อคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงกำแพงอยู่ มือข้างหนึ่งกำลังเดาะลูกบอลสีซีดเก่าลงพื้นซ้ำๆ มืออีกข้างกำซองหมากฝรั่งที่เขากำลังเคี้ยวอยู่ในปาก กำเอาไว้แน่นราวเป็นของมีค่าหายาก


 


"โจอี้..." ชายหนุ่มได้แค่เอ่ยออกมาเบาๆ ไม่กล้าที่จะเรียกออกไป จะด้วยความขี้อายหรืออะไรก็ตามแต่ เขาค่อยๆ เดินเลี่ยงผ่านเด็กชายไปอย่างเงียบๆ "คุณไม่สนใจผมหรอก ใช่ไหมฮะ" เสียงของเด็กชายแว่วออกมา ชายหนุ่มหันกลับไป พบแค่เพียงเศษกระดาษห่อหมากฝรั่งแบนๆ อยู่บนพื้น กับลูกบอลที่ค่อยๆ กลิ้งลงจากทางเท้าไป


 


เขาเดินตามลูกบอลนั้นไปเรื่อยๆ ... จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องอาหารในแบบที่เป็นทั้งร้านกาแฟและบาร์เหล้าไปในตัว เสียงดนตรี Jazz ที่เขาไม่รู้จักดังมาจากตู้เพลง หญิงสาวแต่งตัวประณีตคนหนึ่งเชื้อชวนให้เขาให้เขามานั่งร่วมโต๊ะ ชายหนุ่มประหม่า เขาเดินไปที่โต๊ะนั่นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ "ทำไมคุณดูหน้าหมองๆ จังคุณแวนโก๊ะ" หญิงสาวเอ่ยทักเมื่อชายหนุ่มนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย


 


ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างทำให้เขาเอ่ยถามเบา ๆ ออกไป "เจน?" หญิงสาวพยักหน้ารับพลางยกแก้วขึ้นจิบด้วยท่าทีนุ่มนวล ได้กลิ่นแอลกอฮอลจางๆ จากเครื่องดื่มนั้น เมื่อเขาคลายความประหม่าลง ก็ได้พูดคุยกันถึงเรื่องดนตรีกับเธออย่างออกรส


 


ชายหนุ่มเดินออกมาจากร้าน รู้สึกว่าพลังสร้างสรรค์ได้กลับคืนมา ว่าจะเดินทอดน่องต่อที่จัตุรัสกลางเมืองอีกสักระยะแล้วค่อยกลับไปแต่งเพลง หลังจากนั้นค่อยเตรียมตัวไปเล่นที่ผับต่อ เสียงหินกระทบกระป๋องดังมาจากที่ใดสักแห่งใกล้ๆ เขาเห็นเด็กชายโจอี้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน กำลังเขย่ากระป๋องที่มีหินอยู่ข้างใน


 


จังหวะเดียวกับที่ของเสียงนาฬิกาประจำเมืองนี้ตีบอกเวลา...


 



 


อัลบั้มที่สองของ Nick Drake คือ Bryter Layter ยังคงทำร่วมกับวง Fairport Convention และโปรดิวเซอร์คนเดิม เป็นผลงานที่มีทั้งกลิ่น Jazz และสรรพสำเนียงของ Baroque Pop ภายใต้ดนตรี Folk อันนุ่มนวล


 


จริงๆ แล้ว Nick Drake เป็นคนมีพรสวรรค์ ทั้งด้านฝีมือทางดนตรีและการแต่งเพลง แต่ละเพลงของเขามีเสน่ห์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายหลากหลาย เรียบง่ายแต่ลุ่มลึก กระนั้นก็ตามโอกาสของแต่ละคนไม่เท่ากัน


 


อัลบั้มที่สองแม้จะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากนักวิจารณ์ แต่ทางด้านยอดขายยังทำได้ไม่ดีอยู่เหมือนเดิม ทำให้ Nick Drake เริ่มรู้สึกผิดหวัง หมดศรัทธากับวงการดนตรี ในวงการอุตสาหกรรมดนตรีนั้น สิ่งหนึ่งที่จะช่วยในการขายอัลบั้มได้ คือการออกงานแสดงสดซึ่งจะทำให้ศิลปินเป็นที่รู้จัก แต่เนื่องด้วย Nick Drake เป็นคนขี้อายและกดดันได้ง่าย ทำให้การแสดงสดไม่ประสบผลสำเร็จนัก เขาถึงขั้นต้องแอบใช้ยาระงับประสาท ทั้งที่เขาเองก็ไม่เต็มใจจะใช้มันนัก


 


ชายหนุ่มเดินไปตามทางมืดหม่น แสงจัดจ้าจากผับบาร์เป็นแค่แสงรบกวนสำหรับเขา เขาเร่งกลับไปยังที่พัก กลับไปกลืนยาสักสองเม็ด ล้มลงนอน ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พลันมีเสียงฝีเท้าตามมาข้างหลังทำให้เขาเร่งความเร็วขึ้น มือของเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นเอื้อมมาแตะบ่าเขาได้ทัน "วันนี้คุณเล่นได้ดีมาก" คนที่เอ่ยชมเขาคือหญิงมีอายุผู้หนึ่ง ผู้ที่ชายหนุ่มคุ้นเคยดี


 


"...คนอื่นอาจไม่รู้สึก แต่ฉันรู้สึกได้ ถึงมนตร์ขลังในเพลงของคุณ" ชายหนุ่มไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของหญิงผู้นี้ แต่เขารับรู้ได้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไม่ได้เพียงโกหกเพื่อให้กำลังใจ เธอผู้นี้...เจน พูดออกมาจากใจจริง กระนั้นก็ตาม ในคืนนี้...อะไรบางอย่างในตัวชายหนุ่มบอกให้รีบหนีเธอไป "เมื่อก่อนผมก็เคยชอบเรื่องมนตร์ขลัง ความมหัศจรรย์ แต่ในตอนนี้ ผมไม่เชื่อมันอีกแล้ว"


 


เขาทิ้งคำพูดเย็นชาไว้เบื้องหลัง เข้ามาถึงที่พักแล้วล็อกประตูลง ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก เขาเดินไปคว้ากีต้าร์มายืนดีดตรงหน้าต่าง เหม่อมองพระจันทร์


 


พระจันทร์คืนนี้เป็นสีชมพูอีกแล้ว คืนใดก็ตามที่มันเป็นสีชมพู คืนนั้นเขาจะนอนไม่หลับ เขาวางกีตาร์ลงหยิบแผ่นเสียงขึ้นมาเปิด ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังมา มันไม่ใช่เสียงเคาะของคน เขาถึงรู้ว่ามันกำลังมาหาเขาอีกแล้ว เสียงเคาะเหมือนเกาประตูยังคงส่งเสียงแกรกๆ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะเดินไปเปิดเท่านั้น เป็นเช่นที่เขาคาด หมาดำตัวหนึ่งยืนกลมกลืนไปกับความมืดอยู่ห่างเขาเพียงธรณีประตู มันนั่งนิ่งมองจ้องชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาสีดำทะมึน จนกระทั่งเขาปิดประตูลงช้าๆ หวังว่ามันจะหายไป กลับไปยังที่ที่มันมา เขาเดินงุ่นง่านมาทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง คราวนี้ได้ยินเสียงลากอะไรบางอย่างดังมา เขาเดินไปดูที่หน้าต่าง สิ่งที่เขาเห็นคือเด็กชายโจอี้กำลังเดินลากรถของเล่นพลาสติกมาหยุดมองเขาด้วยสีหน้าที่ทอดอาลัย ชายหนุ่มผลุนผลันคว้าขวดยามากรอกเข้าปาก ลูบหน้าตัวเองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง คราวนี้เขามองไม่เห็นเด็กชายโจอี้อีกแล้ว มีเพียงภาพกองทหารเดินแห่ขบวนผ่านหน้าเขาไปเท่านั้น*


 


000


 


ก่อนที่จะทำอัลบั้ม Pink Moon นั้น Nick Drake เริ่มทำตัวเหินห่างจากครอบครัว เพื่อนฝูง รู้สึกกดดันในจิตใจและจมจ่อมอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครรู้ได้ว่าในความมืดก้นบึ้งของจิตใจเขามีอะไรอยู่ จนกระทั่งคืนหนึ่ง Drake ได้นัด John Wood ผู้เป็น Sound Engineer ของเขาไว้ว่าอยากจะอัดอัลบั้มต่อไป เขาเข้ามาในตอนเที่ยงคืน และทำเช่นที่เขาได้เคยบอกไว้ว่า อัลบั้มนี้จะมีเพียงเขากับกีต้าร์เท่านั้น จึงไม่มีวง Fairport Comvention มาเล่นเป็นเบื้องหลังอีกทั้งยังไม่มี Joe Boyd เป็นโปรดิวเซอร์ให้เช่นสองอัลบั้มที่ผ่านมา


 


การอัดใช้เวลาเพียงแค่สองคืน และเพื่อให้งานมันดูสด ดูเรียบง่ายที่สุดอย่างที่เขาต้องการ Nick Drake จึงไม่ได้เติมแต่งสิ่งใดลงไปอีกเลย นอกจากเสียงร้องกับกีต้าร์อะคูสติกส์ของเขา จะมีก็แต่การอัดเพิ่มเสียงเปียโนลงไปใน Track แรกคือ Pink Moon เพียงเท่านั้น ความสดและเรียบง่ายทำให้อัลบั้มนี้ แม้จะสั้นมาก (เวลารวมทั้งหมด 28 นาที จาก 11 เพลง) แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความลุ่มลึก ละมุนละไม แต่ก็เคลือบด้วยความซึมเซาและซ่อนความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างถูกขับออกมาจากก้นบึ้งในจิตใจของ Nick Drake มีทั้งความเย็นยะเยือกและอบอุ่น เป็นอัลบั้มที่ความเงียบและสรรพเสียงได้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน


 


John Wood บอกว่า "เขาเข้ามาตอนเที่ยงคืน เราเริ่มอัด มันเสร็จเร็วมาก พอเสร็จแล้วผมก็ถามเขาว่า จะเก็บส่วนไหนไว้บ้าง เขาบอกว่าทั้งหมด ซึ่งฟังดูขัดกับตัวเขาที่เมื่อก่อน แล้วเขาก็มาในเย็นอีกวันหนึ่ง ซึ่งมันมิกซ์เสียงได้ลำบากเอาการ เพราะมีแต่เสียงเขากับกีต้าร์เท่านั้น"


 


อัลบั้มนี้นอกจากเสียงร้องที่เหมือนหม่นมืดมาจากก้นบึ้งของความเจ็บปวดแล้ว เนื้อร้องบางเพลงยังแอบสื่อถึงความเจ็บป่วยทางใจและความแปลกแยก เช่นเพลง Parasite


 


"Lifting the mask from a local clown


Feeling down like him


Seeing the light in a station bar and


Traveling far in sin


Sailing downstairs to the northern line


Watching the shine of the shoes


Hearing the trials of the people there


Who's to care if the lose


 


Take a look you may see me on the ground


For I am the parasite of this town"


 


- Parasite


 


หรือ เพลงที่ตัดพ้อถึงความผิดหวังทางดนตรีอย่าง Which Will กับ Know (ซึ่งความหมายกว้างพอจะสามารถแปลความหมายรวมไปถึงความผิดหวังในความรักได้ด้วย)


 


"Know that I love you


Know I don't care


Know that I see you


Know I'm not there"


 


-          Know


 


Nick Drake เสียชิวิตในเช้าวันที่ 25 พฤศจิกายน 1974 จากการใช้ยาระงับประสาทมากเกินไป เป็นที่ถกเถียงกับว่า เขาฆ่าตัวตายหรือเป็นอุบัติเหตุกันแน่ เพราะ Drake ไม่ได้ทิ้งโน้ตอะไรไว้ และถึงแม้หลังจากอัลบั้ม Pink Moon เป็นต้นมา เขาจะชอบหลบหน้าผู้คน บางทีหายตัวไปบ่อยๆ แต่ช่วงปีหลังชีวิตเขาก็ดูจะสว่างไสวมีความสุขขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งขณะนั้นเขาก็กำลังทำเพลงสำหรับอัลบั้มที่สี่ของเขาอีกด้วย ความตายมาพรากชายอัจฉริยะผู้นี้ด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น


 


แต่ใครบางคนว่าไว้ "ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว..."


 


หลังจาก Nick Drake เสียชีวิต ผลงานของเขาก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ปีต่อปี ศิลปินยุคใหม่หลายคนยอมรับว่า Nick Drake เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของพวกเขาเช่น R.E.M., Paul Weller, Travis, Portishead, The Coral, Coldplay, David Gray, Super Furry Animals, Beth Orton ฯลฯ


 


นอกจากนี้ยังมีคนนำเอาเพลงของเขามารวมเป็นอัลบั้ม Bootlegs และ Compilations จนมากกว่าจำนวน Studio Albums ของเขาอีกด้วย อาทิ Tanworth-in-Arden (1967/1968) ที่เป็น Bootlegs ชื่ออัลบั้มนี้คือชื่อเมืองที่เป็นบ้านของเขาเอง , Time of No Reply (1986) ที่รวมเพลงที่ยังไม่ได้ออกวางเป็นอัลบั้มใหม่ของเขา และ Made to Love Magic (2004) ซึ่งติดอันดับที่ 27 ของชาร์ทอัลบั้มประเทศอังกฤษ ฯลฯ ในปี 1999 หนังสือพิมพ์ The Guardian ก็ได้จัดให้อัลบั้ม Bryter Layter เป็นอันดับหนึ่งจาก 100 อันดับอัลบั้มอัลเตอร์เนทีฟป็อบยอดเยี่ยมตลอดกาล


 


พื้นที่และเวลาเป็นเหมือนชะตากรรมอันโหดร้ายยากจะหลีกเลี่ยง งานของศิลปินบางคนไม่เป็นที่ยอมรับเลยในตลอดชั่วชีวิตเขา Nick Drake เองก็เป็นเช่นศิลปินอาภัพอีกหลายคน ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นคนที่เกิดผิดยุคผิดสมัย เป็นคนที่ผลงานจะได้รับการสรรเสริญยอมรับ ก็ยามเมื่อสิ้นชีพไปแล้วเท่านั้น


 


หลุมศพของ Nick Drake ตั้งอยู่ที่ Tantworth-in-Arden ที่ป้ายหลุมศพของ สลักไว้ว่า "Now we rise and we are everywhere." เป็นประโยคที่มาจากเพลง From The Morning เพลงสุดท้าย...ในอัลบั้มสุดท้าย...ของเขาเอง


 


เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน...วงการอุตสาหกรรมดนตรียังคงคาบเกี่ยวกับทั้งความเป็นศิลปะและการค้า ศิลปินผู้ยืนยันจะทำในสิ่งที่ตนเชื่อยังคงต้องต่อสู้กับอะไรหลายอย่าง อำนาจรัฐ อำนาจเงินตรา กระแสสาธารณ์ รวมไปถึงการผูกขาดทางรสนิยม หลายคนจำต้องยอมละทิ้งหนทางแห่งศิลปะไป เพื่อความอยู่รอดของตนเอง


 


ขณะที่อีกหลายคนยังคงต้องต่อสู้ทั้งภายในและภายนอก เพื่อที่จะมีพื้นที่และได้รับการยอมรับจากยุคสมัย โดยไม่ละทิ้งจิตวิญญาณศิลป์ของตน


 


ภาวนาว่า พระจันทร์สีชมพูที่ทั้งสุกใสและน่าสะพรึงกลัวนี้ ...จะไม่กลืนกินพวกเขาไป


 


"Saw it written and I saw it say


Pink moon is on its way


And none of you stand so tall


Pink Moon gonna get ye all


And it's a pink moon


 


Yes, a pink moon


Pink, pink, pink, pink, pink moon


Pink, pink, pink, pink, pink moon"


 


-          Pink Moon**


 


 


* หมายเหตุ 1 - เรื่องราวของชายหนุ่ม , โจอี้ และ เจน เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเนื้อเพลงหลาย ๆ เพลงของ Nick Drake (อย่าเอาไปอ้างอิงเชียว)


 


** หมายเหตุ 2  - เพลง Pink Moon นี้ได้มีการนำไปใช้เป็น Soundtrack ในภาพยนตร์โรแมนติก เรื่อง The Lake House ทั้งยังเคยนำไปใช้ประกอบโฆษณารถ Volkswagen ด้วย แต่พวกเขาจะรู้บ้างหรือเปล่า ว่าพระจันทร์สีชมพูนี้ ความหมายของมันในช่วงยุคกลาง จะบ่งบอกถึง ความยุ่งเหยิง การทำลายล้าง และ ความตาย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net