Skip to main content
sharethis


 


พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานเครือข่ายเสขิยธรรม


และเจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม อ.ฝาง จ.เชียงใหม่


 


ประชาไท - 22 พ.ย.2549 เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ศาลจังหวัดฝาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีการไต่สวนพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 524/2549 นายณรงค์ การสะสม เป็นโจทก์ฟ้องพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณเป็นจำเลย และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 671/2549 นายเอกพันธ์ ภัทรศาสตร์เป็นโจทก์ฟ้องนายเสาร์แก้ว วงศ์อ่อน เป็นจำเลย โดยทั้ง 2 คดีโจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และทั้ง 2 คดีเป็นการฟ้องกลับหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องกรณีที่พระกิตติศักดิ์ฟ้องนายณรงค์ข้อหาลักทรัพย์ คือเครื่องสูบน้ำของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ แห่งสวนเมตตาธรรม


 


พระกิตติศักดิ์เผยปมกระบวนการยุติธรรม เหตุถูกฟ้องกลับ


พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานเครือข่ายเสขิยธรรมและเจ้าอาวาสสถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม บ้านห้วยงู ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยถึงที่มาของการถูกฟ้องร้องว่าเมื่อปี 2545 ทางพระสงฆ์ในสถานปฏิบัติเคยไปแจ้งความกรณีถูกคุกคาม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่รับแจ้งความ จึงได้ร้องเรียนไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อมาจึงมีการตั้งกรรมการสอบสวนกรณีพนักงานไม่รับแจ้งความ จนมีการรับแจ้งความในปี 2547 ซึ่งทางอัยการฟ้องรวม 3 คดีได้แก่ 1.บุกรุกที่ดินและข่มขู่ 2.บุกรุกที่ดินและทำร้ายร่างกาย และ 3.ลักทรัพย์


 


หลังจากนั้นได้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาหลายราย โดยหนึ่งในนั้นคือ นายณรงค์ การสะสม ซึ่งเป็นนายทหารนอกราชการยศร้อยเอก และมีการกล่าวว่านายณรงค์มักอ้างความเป็นนายทหารยศพันโทข่มขู่ชาวบ้าน โดยนายณรงค์ได้หลบหนีตั้งแต่มีการออกหมายจับ และเพิ่งเข้ามอบตัวหลังจากที่มีกรณีพระสุพจน์ สุวโจ เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรมถูกฆ่า จนกลายเป็นคดีระดับชาติ


 


"กรณีที่มีการฟ้องศาลข้อหาลักทรัพย์ มีการดำเนินการในกระบวนการยุติธรรมไม่สมบูรณ์ เพราะข้อเท็จจริง หลักฐานบางประการไม่ได้รับการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งอาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ศาลจึงมีคำสั่งยกฟ้อง ในวันนัดพิพากษาพนักงานนำส่งหมายก็ไม่ได้ส่งให้ฝ่ายโจทก์ไปฟังคำพิพากษา ทำให้เมื่อศาลชั้นต้นตัดสิน ฝ่ายโจทก์จึงอุทธรณ์ไม่ทัน ทำให้จำเลยฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จดังกล่าว ทั้งที่เรื่องของการฟ้องร้องข้อหาลักทรัพย์นี้เป็นการแจ้งความร้องทุกข์ต่อตำรวจ ตำรวจเห็นว่ามีข้อเท็จจริงก็เลยรวบรวมหลักฐานฟ้อง ฝ่ายอัยการก็สั่งฟ้อง ศาลก็รับฟ้อง แต่พอยื่นอุทธรณ์ไม่ทัน จำเลยจึงฟ้องกลับว่าเราแจ้งความเท็จ" พระกิตติศักดิ์ กล่าว


 


สำหรับคดีนี้ พระกิตติศักดิ์เปิดเผยว่า พยานของฝ่ายจำเลย 8 ปากนั้น ส่วนหนึ่งประกอบด้วยพระสิงห์ทน นราสโภ เจ้าของที่ดินเดิมซึ่งเมื่ออุปสมบทแล้วจึงมอบที่ดินให้กับมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ฤทธ์คำรณ นายตำรวจที่เคยเป็นเจ้าของคดีฟ้อง 3 คดีข้างต้น ซึ่งปัจจุบันย้ายไปอยู่ สภ.อ.สามพราน จ.นครปฐม และตำรวจที่เคยล้อมจับกุมนายณรงค์ การสะสมกับพวก


 


สภาทนายยื่นมือเข้าช่วยแล้ว เผยมีการโยงใยของอำนาจอิทธิพล


นอกจากนี้ ทางสภาทนายความได้มีการตั้งทนายความเพื่อช่วยเหลือคดีที่มีการฟ้องกลับพระกิตติศักดิ์ครั้งนี้ด้วย โดยนายแสงชัย รัตนเสรีวงษ์ หนึ่งในสามของทนายฝ่ายจำเลยคดีดังกล่าว กล่าวถึงเหตุผลที่สภาทนายความเข้ามาช่วยเหลือมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ว่า เป็นเพราะมูลนิธิถูกคุกคามในเรื่องการใช้ประโยชน์จากที่ดินมูลนิธิ และคดีนี้คงไม่ใช่เรื่องแจ้งความเท็จอย่างเดียว แต่น่าจะเกี่ยวพันมาตั้งแต่ถูกข่มขู่ การทำร้ายร่างกาย  และกรณีหลวงพี่สุพจน์ สุวโจก็ถูกฆ่าตายด้วย ทั้งหมดก็โยงใยว่ามีอำนาจอิทธิพลคุกคาม


 


"เรายังไม่ยืนยันว่าเป็นจำเลยคนนั้นหรือโจทก์คนนี้ แต่แน่นอนข้อเท็จจริงก็บ่งชี้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องของกลุ่มอิทธิพลต้องการที่จะเอาที่ดินตรงนี้ไป เห็นว่าสมควรจะให้ความช่วยเหลือเพราะมูลนิธิไม่ได้มุ่งเอาที่ดินไปค้ากำไร ทำประโยชน์เฉพาะตัวใคร แต่มุ่งจะพัฒนาชุมชน ใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวมด้วย ถ้าปล่อยให้กลุ่มผลประโยชน์รุกไป ถ้าไม่เอาไปขาย ก็เอาไปทำสวนส้มปล่อยสารพิษ สารเคมี สิ่งแวดล้อมก็แย่เข้าไปอีก…และหลักสำคัญคือเพราะเขาถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาถูกคุกคาม" นายแสงชัย กล่าว


 


อย่างไรก็ตาม สำหรับความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ศาลได้นัดสืบพยานทั้งฝ่ายโจทก์ 2 ปาก และฝ่ายจำเลย 8 ปาก เริ่มสืบพยานนัดแรกในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 ปีหน้า


 


ย้อนปมคดีสวนเมตตาธรรม สงฆ์ถูกคุกคามซ้ำซาก


อนึ่ง สถานปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรม ที่พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณเป็นเจ้าอาวาสนี้ ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยงู ต.สันทราย อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ เดิมที่ดินจำนวน 1,500 ไร่แปลงนี้เป็นของ ดร.สิงห์ทน คำซาว อดีตอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ นส.3 และโฉนด ซึ่ง ดร.สิงห์ทน ทยอยซื้อมาจากชาวบ้านทีละเล็กทีละน้อยตั้งแต่ปี 2523


 


ต่อมา ดร.สิงห์ทน ได้บวชเป็นภิกษุชื่อพระสิงห์ทน นราสโก และพระสิงห์ทนร่วมกับนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ได้ยกที่ดินให้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ทำเป็นสถานปฏิบัติธรรมในปี 2541 ได้อาราธนาพระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ พระสุพจน์ นราสโก และพระมหาเชิดชัย กวิสโก จากสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มาจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมสวนเมตตาธรรมขึ้น สถานปฏิบัติธรรมฯดังกล่าวมีพระสุพจน์เป็นเจ้าอาวาส ขณะที่พระสิงห์ทนได้ไปจำวัด ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และทางสวนเมตตาธรรมได้บริจาคที่ดินให้ชาวบ้าน 800 ไร่เศษเพื่อทำเป็นป่าชุมชน ทำให้เหลือที่ดินของสำนักปฏิบัติธรรมประมาณ 700 ไร่เศษ ซึ่งทางมูลนิธิฯ มีความตั้งใจที่จะให้ชาวบ้านเข้ามาใช้ประโยชน์ทำแปลงเกษตรปลอดสารพิษ


 


แต่ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่หมายปองจากบรรดานายทุนและผู้มีอิทธิพลแถบนั้นพยายามที่จะเข้ามายึดครองใช้ประโยชน์ มีการข่มขู่คุกคามทั้งชาวบ้านและพระหลายครั้ง กระทั่งมีการทำร้ายร่างกายผู้ดูแลสวนของมูลนิธิ ทำให้ทางมูลนิธิยื่นฟ้องต่อศาลรวม 3 คดี ซึ่งแจ้งความมาตั้งแต่ปี 2545 แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ ต้องรอจนกว่าสำนักนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจจึงจะรับแจ้งความในปี 2547 แต่ไม่ทันที่จะจับผู้ต้องหาได้ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2548 พระสุพจน์ สุวโจ ถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนทำร้ายด้วยของมีคมจนพระสุพจน์ถึงแก่มรณภาพ


 


ต่อมา เมื่อคดีพระสุพจน์เป็นข่าวใหญ่ระดับชาติ แม้คดีจะไม่มีความคืบหน้า แต่ผู้ต้องหาคดีที่มีการฟ้องร้องกันก่อนหน้านี้ก็เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อถึงชั้นศาลปรากฏว่าศาลมีคำสั่งยกฟ้องในคดีลักเครื่องสูบน้ำของมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ และในวันที่มีการนัดพิพากษาพนักงานนำส่งหมายก็ไม่ได้ส่งให้ฝ่ายโจทก์คือพระกิตติศักดิ์ไปฟังคำพิพากษา ทำให้เมื่อศาลชั้นต้นตัดสินแต่ฝ่ายพระกิตติศักดิ์จึงอุทธรณ์ไม่ทัน ทำให้จำเลยคือนายณรงค์ การสะสมฟ้องกลับข้อหาแจ้งความเท็จดังกล่าว


 


นอกจากนี้ ยังมีเหตุเพลิงไหม้บ้านคนงานซึ่งเป็นพยานคนสำคัญของคดีเนื่องจากเป็นผู้พบศพของพระสุพจน์ และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2549 ที่ผ่านมา ก็มีคนงานของมูลนิธิจมน้ำเสียชีวิตในสำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้อย่างมีเงื่อนงำอีกด้วย


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net