Skip to main content
sharethis

ประชาไท—17 พ.ย. 2549ภายหลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ประกาศแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีสำคัญๆ ซึ่งมีนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงถูกกล่าวหานั้น ล่าสุด ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี ทั้งทางวินัยและอาญาฐาน ฐานไม่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมขายทอดตลาดที่ดินของศาลจังหวัดธัญบุรี


 


วานนี้ (16 พ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการป.ป.ช. ในฐานะโฆษก ป.ป.ช.แถลงผลการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ที่ประชุมมีมติชี้มูลความผิดอดีตอธิบดีกรมบังคับคดี โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหาอดีตอธิบดีกรมบังคับคดีปฏิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตในการส่งคืนเงิน 70 ล้านบาทที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน 897 ล้านบาท โดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดธัญบุรีตามกฎหมาย


 


ทั้งนี้ จากการไต่สวนข้อเท็จจริงพบว่า ศาลจังหวัดธัญบุรี ได้ขายทอดตลาดที่ดิน 2 แปลงที่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้กับผู้ซื้อรายหนึ่งในราคา 897 ล้านบาท โดยผู้ซื้อได้วางเงินเป็นค่าซื้อทรัพย์ 70 ล้านบาทต่อศาล ต่อมาผู้ซื้อทรัพย์ไม่ชำระเงินที่ค้างภายในกำหนดเวลา โจทย์และจำเลยได้ร้องขอถอดการยึด ซึ่งศาลจังหวัดธัญบุรีได้คิดค่าธรรมเนียมถอนการยึดร้อยละ 3.5 ของราคาประเมินขณะยึดและได้ส่งเงิน 70 ล้านบาทมายังกรมบังคับคดีโดยระบุด้วยว่าเงินจำนวน 70 ล้านบาทนี้ยังไม่ได้มีการหักค่าธรรมเนียมใดๆ ซึ่งผู้อำนวยการกองบังคับคดีแพ่งมีความเห็นว่าก่อนจ่ายเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวให้คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 5 ของจำนวนเงินที่ขายได้ก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง


 


เมื่อเรื่องดังกล่าวเสนอมายังผู้ถูกกล่าวหาซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมบังคับคดีกลับมีการเรียกประชุมนิติกร 8 เพื่อหารือการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมร้อยละ 5 และต่อมาผู้ถูกกล่าวหาได้มีคำสั่งให้คืนเงิน 70 ล้านบาทที่ได้จากการขายทอดตลาดโดยไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดร้อยละ 5 ตามกฎหมาย


 


คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเห็นว่า กรมบังคับคดีมีหน้าที่ต้องหักค่าธรรมเนียมการบังคับคดีตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 318,319 จากเงินดังกล่าวก่อนจ่ายเงินที่เหลือให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน นอกจากนี้เงินค่าธรรมเนียมจากการขายทอดตลาดร้อยละ 5 ยังเป็นคนละกรณีกับการคิดค่าธรรมเนียมถอนการยึดจึงไม่เป็นการคิดซ้ำซ้อนกัน การที่ผู้ถูกกล่าวหาสั่งคืนเงิน 70 ล้านบาทที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินโดยไม่หักค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาดร้อยละ 5 ตามกฎหมายจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ


 


นายกล้าณรงค์ระบุว่า ก่อนที่ผู้ถูกกล่าวหาจะสั่งคืนเงิน 70 ล้านบาทดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหายังได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นหุ้นของบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งจำนวน 10,000 หุ้นจากประธานกรรมการบริษัท ฯ และได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวไปได้เงินจำนวน 865,650 บาทและยังพบเพิ่มเติมว่าเงินจำนวน 70 ล้านบาทนั้นในที่สุดได้มีการโอนเข้าบัญชีบริษัทมหาชนแห่งนี้จำนวน 56.5 ล้านบาทและเข้าบัญชีของประธานกรรมการบริษัทฯผู้มอบหุ้นให้แก่ข้อกล่าวหาจำนวน 13.5 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าบริษัทมหาชนดังกล่าวเป็นผู้ซื้อที่ดินต่อจากผู้ซื้อที่ดินพิพาทอีกทอดหนึ่ง การที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับหุ้นดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นมูลเหตุจูงใจให้ผู้ถูกกล่าวหาสั่งคืนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดโดยไม่หักค่าธรรมเนียมร้อยละ 5 ตามกฎหมาย


 


คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหามีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ ฐานจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบและฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 และมีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา149 ,154 ,157 ให้ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาล


 


การออกมาชี้มูลความผิดในคดีเป็นคดีแรกในจำนวนทั้งสิ้น 6 คดีซึ่ง ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีค้างเก่าซึ่งเป็นกรณีที่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงถูกฟ้องร้องเรื่องการประพฤติมิชอบต่อการปฏิบัติหน้าที่ 6 ได้แก่


 


 


จับตาอีก 5คดี


1 เรื่องการกล่าวหานายสุทัศน์ เงินหมื่น อดีตรัฐมนตรีว่ากากรกระทรวงยุติธรรม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดึตปลัดกระทรวงยุติธรรม นายประมาณ ติยะไพบูลย์สิน อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี และนายมานิต สุธาพร อดีตรองอธิบดีกรมบังคับคดี เกี่ยวกับเรื่องการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม จำนวน 70 ล้านบาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินของศาลจังหวัดธัญบุรี โดยมีนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ปปช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน


 


2 เรื่องกล่าวหานายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับโครงการแทรกแซงตลาดยางพารา ปี 2536-2538 โดยมีศาสตราจารย์สุริชัย หวันแก้ว เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน


 


3 เรื่องกล่าวหานายสมศักดิ์ ปริศนานันนทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน


 


4 เรื่องกล่าวหานายอภิญญา ช่วยปลอด อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาริชย์ เกี่ยวกับโครงการพยุงราคากาแฟของพระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี พ.ส. 2533 โดยมีนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน


 


5 เรื่องกล่าวหานายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรองนายกรัฐมนตรีกรณีจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายโดยยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ และร่ำรวบผิดปกติ โดยมีนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน


 


6 เรื่องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของนายทองก้อน วงศ์สมุทร และคณะซึ่งรวบรวมรายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง กรณีมีพฤติการณ์ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ในการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช โดยมี นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net