ภาพประกอบจาก www.dollarsandsense.org
โดย วิทยากร บุญเรือง
"สวัสดี - เศรษฐกิจพอเพียง"
แฟชั่นกระแสนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยแรงศรัทธา เกี่ยวกับหลักเศรษฐศาสตร์ (เศรษฐกิจ) ในปัจจุบัน ถ้าไม่กล่าวถึงเรื่อง 'เศรษฐกิจแบบพอเพียง' (sufficiency economics) ก็อาจจะดูเหมือนเป็นคนตกยุค หรือไม่มีจิตใจอันที่จะบ่งบอกถึงการเป็นพลเมืองที่ดี เพราะในปัจจุบัน ถือว่าเรื่องของเศรษฐกิจแบบพอเพียงนี้ เป็น 'วาระแห่งชาติ' ที่ทุกคนในบ้านนี้เมืองนี้ จำเป็นจะต้อง 'สมาทาน' ไว้โดยพร้อมเพรียงกัน และก็ดูเหมือนว่า คงจะเป็นการไม่เหมาะสม สำหรับการวิพากษ์-วิจารณ์แนวคิดนี้
สำหรับกรณีนี้ ถือว่าเป็นปรากฎการณ์สำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้คนไทยเราส่วนใหญ่ หันมาขบคิดเกี่ยวกับเรื่องที่มีอิทธิพลต่อสังคมมากที่สุดในปัจจุบันและต่อจากนี้ไป ทั้งๆที่แต่เมื่อครั้งอดีตนั้น การกล่าวถึงมันดูเหมือนที่จะเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป --- นั่นก็คือเรื่องของ "เศรษฐกิจ" (economics)
แต่ก็จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" ไม่ได้มี หรือ ไม่ได้เป็นแนวทางของหลักการและเป้าหมายในองค์ความรู้หมวดหมู่เศรษฐศาสตร์ อันที่จะทำให้เกิดการบริหาร-จัดการทรัพยากรของโลกอย่างคุ้มค่ามากที่สุด
แต่คำถามที่ไม่น่าจะให้ผ่านเลยไปโดยปราศจากการวิพากษ์-วิจารณ์ ก็คือ "ใครบ้างที่สมควรจะพอเพียง และจะทำอย่างไรให้มีความพอเพียงแบบเท่าเทียมกันโดยถ้วนหน้า?"
ดังที่ ผศ.
"สวัสดีครับ
แล้วยังไงต่อล่ะ? คุณสบายดีไหม? ผมสบายดี? ถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนแล้วผมจะสามารถช่วยอะไรได้บ้างรึเปล่า? ฯลฯ" --- เช่นเดียวกันกับการนำ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ไปต่อยอดอย่างจริงๆ จังๆ อาจจะเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามที่ได้กล่าวไป และก็หาหนทางนำมันมาใช้อย่างยุติธรรมกับคนหมู่มากของสังคม
เมื่อมีหนทางบางสิ่งบางอย่างที่พอจะนำไปต่อยอด-แสวงหาจุดร่วมเพื่อที่จะนำพาให้พวกเราเดินไปสู่วันข้างหน้าที่ดีกว่าวันนี้ คงจะเป็นการดี ถ้าเราใช้มันให้เป็นและใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนหมู่มาก เท่าที่สิ่งนั้นจะนำพาเราไปได้
ดีกว่าอยู่เฉยๆ เปล่าๆ เปลี้ยๆ จมปรักอคติ แล้วก็เพียงแต่รอให้อะไรบางสิ่งบางอย่าง มันหล่นหาใส่เราเองด้วยความบังเอิญ!
000
"Noah"s
ภาพประกอบจาก www.dollarsandsense.org
บางที สิ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงหนทางในการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ อาจจะถูกยัดอยู่ในวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ในบทที่หนึ่งของตำราเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์รหัส 101 ก็เป็นได้ --- นั่นก็คือการจัดสรร-จัดการทรัพยากรให้คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งหมายถึงการนำทรัพยากรนั้นๆ ไปใช้ในกิจกรรมการผลิตให้เหมาะสม ระหว่างปริมาณของมัน ต่อความคุ้มค่าในการผลิต และต่อผู้ที่จะได้รับประโยชน์ ทั้งสามส่วนนี้จะต้องมีสัดส่วนเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันอย่างยุติธรรม นี่คือแนวคิดที่ง่ายต่อการนำเสนอ แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากในการนำมาปฏิบัติในทุกยุคทุกสมัย
แต่จากนี้ไป ข้อเสนอง่ายๆ นี้ จำเป็นจะต้องถูกนำมาปัดฝุ่นใช้อย่างเร่งด่วนที่สุด ผู้ผลิต-ธุรกิจรายย่อยและภาคประชาชนจะต้องร่วมมือกันกดดัน "อำนาจนิยมที่บิดเบี้ยวบนโลกใบนี้" ให้กระจายความ "มั่งคั่ง" สู่ส่วนรวมโดยเร็วที่สุด
โดยรวบรวมเหตุผลและข้อเสนอได้ ดังนี้
มองโลกในแง่ร้ายแบบ Malthus
หลังจากที่ Adam Smith ตีพิมพ์หนังสือ "An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations" ได้ 22 ปี หนังสือเล่มเล็กๆ เกี่ยวกับหลักเศรษฐศาสตร์และสัญชาตญาณของมนุษย์เล่มหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา นั่นก็คือ "An Essay on the Principle of Population"
ในแรกเริ่มไม่มีการเปิดเผยตัวของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ แต่เป็นที่ทราบกันในภายหลังว่ามันคือผลงานของสาธุคุณหนุ่ม Thomas Robert Maltthus
"An Essay on the Principle of Population" ถือว่าเป็นหนังสือที่โดนตำหนิเป็นอย่างมากในยุคนั้น เนื่องจากเนื้อหาของมันนำเสนอแนวคิดแบบ "การมองโลกในแง่ร้าย" (Pessimism) พอสมควร นั่นก็คือ Maltthus อธิบายถึงยุคเข็ญของมนุษย์ที่จะเกิดเพราะการเพิ่มตัวของจำนวนประชากรที่ไม่มีสิ้นสุด (eternal misery)
Maltthus ยังได้นำทฤษฎี ค่าจ้างพอเพียงประทังชีวิต (subsistence wage theory) หรือ กฎเหล็กแห่งค่าจ้างแรงงาน (the iron law of wage) มาอธิบายถึงความชอบธรรมในการกดค่าแรง เพื่อให้คนงานมีพอมื้อกินมื้อไป แต่หากเมื่อไหร่ที่คนงานได้ค่าแรงสูงจะทำให้แรงงานมีลูกมาก ทำให้ประชากรเพิ่มมากเพิ่มจนค่าจ้างไม่พอเลี้ยง ค่าจ้างแรงงานจึงจะตกลงมา ทำให้คุณภาพชีวิตของแรงงานก็จะต่ำตาม อันเป็นผลให้เกิดโรคระบาดและการล้มตาย ทำให้ประชากรลดลงเหลือพอจำนวนค่าจ้างเลี้ยงดูได้ ทฤษฎีนี้ยังอธิบายถึงการไม่สนับสนุนให้มีการบรรเทาทุกข์แก่คนยากจน เพราะว่าในการต่อสู้ผู้ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น ที่สมควรจะอยู่รอด และการกำกับการเพิ่มจำนวนของประชากรนั้น สงคราม-ความอดอยาก-และการชะลอการสมรส ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นตามความคิดของ Multhus นอกจากนี้ Multhus ยังแสดงความไม่เชื่อมั่นว่าการผลิตสินค้าจะจำหน่ายได้หมดเสมอไป เพราะว่าความต้องสินค้า (Effective Demand) อาจจะมีน้อยกว่าที่จำเป็น ซึ่งจะทำให้ขายสินค้าไม่หมดและส่งผลกระทบสู่ภาวะเศรษฐกิจ
โดยภาพรวมแล้ว ข้อเสนอของ Multhus เป็นข้อเสนอที่ไม่สมควรนำมาใช้เป็นอย่างยิ่ง ในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม แต่ในทางกลับกัน ข้อเสนอของ Multhus นั้น กลับเป็นข้อเสนอที่ทำให้เห็นภาพปัญหาจริงๆจังๆ ของระบบเศรษฐกิจสังคม ที่เกิดขึ้นมาแล้ว-และที่กำลังจะเกิด
ถึงแม้ว่าในหลายประเทศกำลังมีปัญหาการลดลงของอัตราประชากร แต่โดยรวมแล้ว อัตราการเพิ่มของประชากรรวมทั้งโลกในปัจจุบันมีเท่ากับร้อยละ 1.5 ต่อปี และด้วยอัตรานี้สหประชาชาติคาดการณ์ว่า ในปี ค.ศ. 2100 ประชากรโลกจะมีถึง 11000 ล้านคน และจำนวนประชากรของประเทศด้อยพัฒนาจะเพิ่มสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นจำนวนมาก
สิ่งหนึ่งที่คาดการณ์ได้เลยว่า หากระบบเศรษฐกิจยังคงไม่เป็นธรรมต่อคนหมู่มาก พลโลกที่กำเนิดขึ้นมาใหม่จำนวนมากจะต้องกลายเป็นเพียง "แรงงานทาส-ผู้บริโภคผู้ซื่อสัตย์" ภายในจำนวน 11000 ล้านคนนั้น กลุ่มคนผู้มีอิทธิพลต่อโลกอาจจะไม่ถึงหลักหมื่นด้วยซ้ำ! หากการขยายตัวแบบจักรวรรดินิยมบรรษัทยังคอยจ้องกลืนกินธุรกิจเล็กๆ , หากยังไม่มีการจัดสรรที่ดินที่เป็นธรรม ,หากยังไม่มีการปรับเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับมรดก , และหากยังไม่มีการสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมารองรับคนในสังคม
สิ่งที่ Multhus ชี้ให้เห็นนั้นคือความน่ากลัวที่เคยเกิดขึ้นแล้ว และในอนาคตมันจะเกิดขึ้นอีก หากเรายังไม่สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมขึ้นมา
ระบบตลาดแบบสมบูรณ์
สิ่งที่ถูกต้องในการ "จัดสรร-บริหาร" ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าสูงสุดนั่นก็คือ "การวางแผน" ทั้งในการผลิต และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกอย่าง แต่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น "ระบบตลาดที่เป็นธรรม" ก็สามารถเกิดขึ้นได้ และเช่นเดียวกันหนทางที่จะนำไปสู่การเศรษฐกิจแบบวางแผนนั้น ระบบตลาดที่เป็นธรรมก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยนำไปสู่เป้าหมายนั้น
มนุษย์มีความสามารถในการสร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าจะต้องถูกจำกัดอยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งก็ตาม พลังในการสร้างสรรค์ก็จักต้องมีการแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ขนมปังเพียงก้อนเดียวอาจถูกเปลี่ยนรูปแบบและรสชาติ จากนั้นก็แลกเปลี่ยนกับขนมปังก้อนอื่น!
Adam Smith คือบิดาแห่งระบบตลาด ที่ถูกลูกหลานและศาธานุศิษย์รุ่นต่อมาจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อโลก ด้วยลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) อย่างในปัจจุบันหักหลัง! (แต่ก่อนหน้านั้น เขาทำการหักหลังตัวเองด้วยการเป็นหัวหน้าศุลกากรในสกอตแลนด์ ทำหน้าที่ดูแลการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้า และตรวจสอบสินค้าหนีภาษี อย่างขยันขันแข็ง ;-)
ใน "An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations" บรรยายถึงเสรีภาพ-ประชาธิปไตยในระบบเศรษฐกิจ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งจริยธรรมในการจัดระเบียบตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรการผลิตของสังคมด้วยความเท่าเทียมและพอเหมาะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายตั้งอยู่บนพื้นฐานการตัดสินใจที่ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน โดยลักษณะตลาดที่สมบูรณ์ของ Smith นั้นจะต้องประกอบไปด้วยลักษณะดังนี้
· ผู้ซื้อและผู้ขายมีขนาดเล็กหลายราย (Numerous buyers and sellers) และจักต้องไม่มีอิทธิพลต่อตลาด
· ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรับรู้ข้อมูลอย่างสมบูรณ์ (All buyers and sellers are about market and price) และจักต้องไม่มีความลับทางการค้า
· ผู้ขายจะต้องแบกภาระทางต้นทุนไว้เองทั้งหมด แล้วจึงส่งผ่านไปในราคาขาย
· เงินลงทุนจักต้องอยู่ภายในท้องถิ่น การค้าระหว่างประเทศจึงจะมีความสมดุล
· เงินออมจะต้องถูกนำไปลงทุนในการผลิตสินค้าใหม่ๆ
แต่ภายใต้การกำกับเศรษฐกิจโลกของจักรวรรดิบรรษัทนิยม กลับบิดเบือนและนำพาระบบตลาดไปสู่การผูกขาด (Monopoly Market) ซึ่งในระบบตลาดแบบผูกขาดนี้ ย่อมไม่เป็นการสรรค์สร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมขึ้นมาได้เลย
การค้าเสรีระหว่างท้องถิ่น ภายใต้ทฤษฎี "Comparative advantage"
การสร้างการแข่งขันแบบผูกขาดโดยจักรวรรดิบรรษัทนิยม ไม่ใช่เฉพาะเป็นการกระทำในตลาดใดตลาดหนึ่ง หรือท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง แต่กลับจะทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็นตลาดเดียว และเป็นตลาดที่ผูกขาดโดยพวกเขา ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "การค้าเสรีระหว่างประเทศ" หรือ "โลกาภิวัฒน์"
ความพยายามที่จะทำให้โลกกลายเป็นตลาดเดียวของจักรวรรดิบรรษัทนิยม นอกเหนือที่จะทำให้ความหมายของระบบตลาดถูกบิดเบือนไปอย่างมหาศาลแล้ว วัฒนธรรมและเอกลักษณ์อันหลากหลายก็จะถูกทำลายลงไปด้วยวัฒธรรมและเอกลักษณ์ที่จักรวรรดิบรรษัทนิยมยัดเยียดให้แก่ท้องถิ่นนั้นๆ --- Hip-Hop จะกลายเป็นวัฒนธรรมของโลก เช่นเดียวกับน้ำอัดลมเพียงสองยี่ห้อเท่านั้น ที่ชาวโลกจะได้ดื่มมัน!
ใน Theory of comparative Advantage ของ David Ricardo ได้เสนอไว้ว่า การค้าแบบเปิดระหว่างสองชาติย่อมเอื้อต่อผลประโยชน์ของทั้งสอง ตราบเท่าที่มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขเฉพาะจำนวนหนึ่ง คือจะต้องมีการสร้างความสมดุล มีการจ้างงานอย่างเต็มที่เต็มอัตราในประเทศทั้งสอง
โลกในความจริงที่เป็นอยู่นั้นก็คือศักยภาพของแต่ละแห่งนั้นยังไม่เท่าเทียมกัน การก้าวกระโดดโดย "โลกาภิวัฒน์ของนายทุน" ตามแบบอย่างลัทธิเสรีนิยมใหม่ในปัจจุบัน ที่มีนโยบาย - ย้ายฐานการผลิตสู่ถิ่นที่แรงงานราคาถูก , ย้ายทุนทางการเงินเพื่อการเก็งกำไรชั่วคราว , สร้างตลาดผู้บริโภคใหม่ๆ ในแต่ละภูมิภาคในโลกโดยที่ศูนย์กลางในการ "เก็บเกี่ยวกำไร" ยังอยู่ในส่วนที่เจริญที่สุดของโลกอยู่ ฯลฯ เหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลให้การค้าเสรีระหว่างประเทศ ที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพมวลรวมในท้องถิ่นนั้นจริงๆ จังๆ ผลประโยชน์ก็คงจะตกแก่นายทุน-นายหน้า-พ่อค้าคนกลาง ท้องถิ่นเท่านั้น และความได้เปรียบอย่างเด็ดขาด (absolute advantage) จะเกิดแก่ท้องถิ่นที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจที่เหนือกว่าท้องถิ่นอื่นๆ เท่านั้น
เศรษฐกิจที่เป็นธรรมมิได้ปฏิเสธการค้าระหว่างท้องถิ่น แต่จะต้องทำให้ท้องถิ่นนั้นๆ ดูแลตนเองได้ก่อน การเปิดเสรีในทันทีทันใดโดยไม่คำนึงถึง "ปัจจัยพื้นฐาน" ในแต่ละท้องถิ่น ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อคนในท้องถิ่นที่ขาด "อำนาจ-การตัดสินใจ" ในเรื่องเศรษฐกิจ คนเหล่านี้ (แรงงาน,เกษตรกร,ธุรกิจรายย่อย) จะเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ล้มหายตายจากไปก่อนเพื่อนจากโลกาภิวัฒน์ที่บิดเบือนนี้
การค้าระหว่างท้องถิ่นที่เป็นธรรม จะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เข้มแข็ง การค้าเสรีอาจจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างท้องถิ่นที่ยังด้อยพัฒนาแต่ละแห่ง สร้างความสัมพันธ์ทางการค้าในสิ่งที่แต่ละท้องถิ่นขาดแคลน ผลิตในสิ่งที่ตนเชี่ยวชาญและมีคุณภาพ (greater relative efficiency) แล้วก็แลกเปลี่ยนกันกับท้องถิ่นอื่นๆ ตามหลักการแบ่งงานกันทำระหว่างท้องถิ่น(Local division of labor) --- โลกาภิวัฒน์แบบนี้ต่างหากที่โลกกำลังต้องการ
มิใช่การเข้าไปหาผลประโยชน์จากท้องถิ่นอื่นๆ อย่างตะกละตะกลาม โดยจักรวรรดิบรรษัทนิยม อย่างในปัจจุบัน!
ทุนนิยมผูกขาดคือหายนะ
Fernand Braudel ได้ให้ความหมายของคำว่า "Capitalism" ไว้ว่า "ทุนนิยมคือระบบเศรษฐกิจและสังคมที่คนส่วนน้อยกีดกันความเป็นเจ้าของและผลประโยชน์ของทุนจากคนส่วนใหญ่ซึ่งซึ่งใช้แรงงานทำให้ทุนสร้างผลผลิต" ---การสะสมทุนและการกีดกันจึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ระบบทุนนิยมไม่เคยสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจมาทุกยุคทุกสมัย
ระบบทุนนิยมได้นำเพียงเศษเสี้ยวของวิธีการในระบบตลาดมาใช้ แล้วก็บิดเบือนมัน ทั้งๆที่หนทางในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมผ่านกลไกของตลาดสมบูรณ์นั้นเป็นหนทางหนึ่งที่เป็นไปได้
ทุนนิยม | ตลาดที่สมบูรณ์ | |
สิ่งจูงใจหลัก | เงิน | ชีวิต |
การกำหนดจุดหมาย | ใช้เงินเพื่อหาเงินให้กับผู้มีเงิน | ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อสนองความต้องการพื้นฐานของทุกคน |
ขนาดกิจการ | ใหญ่มาก | เล็กและปานกลาง |
ต้นทุน | ผลักออกไปให้สารธารณะ | รับไว้ภายในโดยผู้ใช้ |
ความเป็นเจ้าของ | ไม่เป็นบุคคล ไม่อยู่ในท้องถิ่น | มีความเป็นบุคคล มีรากเหง้า |
ทุนทางการเงิน | ไร้พรมแดน | ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ มีพรมแดน |
จุดมุ่งหมายของการลงทุน | ทำกำไรส่วนบุคคลสูงสุด | เพิ่มผลิตผลที่มีประโยชน์ |
บทบาทของกำไร | จุดหมายที่ต้องทำให้ได้มากที่สุด | เป็นแรงจูงใจให้ลงทุน ที่ก่อให้เกิดผลผลิต |
กลไกประสานงาน | วางแผนจากส่วนกลาง โดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ | เครือข่ายและตลาดที่มีการจัดระเบียบ |
การร่วมมือ | ระหว่างคู่แข่งเพื่อเลี่ยงกติกาการแข่งขัน | ระหว่างผู้คนและชุมชน เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมมากยิ่งขึ้น |
จุดมุ่งหมายของการแข่งขัน | กำจัดผู้ที่ไม่แข็งแรง | กระตุ้นให้เกิดประสิทธิภาพและนวัตกรรม |
บทบาทของรัฐบาล | ปกป้องผลประโยชน์แห่งทรัพย์สิน | ทำให้ผลประโยชน์ของมนุษย์รุดหน้า |
การค้า | เสรี | เป็นธรรมและมีสมดุล |
ความโน้มเอียงทางการเมือง | ชนชั้นนำ ประชาธิปไตยของเงินตรา | มวลชน ประชาธิปไตยของมวลชน |
ตารางเปรียบเทียบระหว่างทุนนิยม กับ ตลาด ของ David C. Korten
ภาพประกอบจาก www.dollarsandsense.org
ระบบเศรษฐกิจบนความเสมอภาคของมนุษย์
ทั้งนี้ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ สิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ความเสมอภาคทางเพศ , แนวคิด , และวิถีทางในการเลือกที่จะดำรงชีวิตเอง ตามแบบต่างๆ ที่อยู่ในกรอบของการใช้ทรัพยากรอย่างถ้วนหน้าและคุ้มค่าที่สุด --- จะต้องไม่มีลักษณะอำนาจนิยมที่บีบบังคับให้เรา "พอเพียง" หรือ "พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่" ทั้งๆ ที่ความเสมอภาคในสังคมเหล่านั้น ยังไม่เกิดขึ้น
และต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ในโลกที่เราดิ้นรนต่อสู่อยู่ทุกวันนี้ ผลประโยชน์จากการบริโภค - การทำงาน - รวมถึงการขายเราเป็นสินค้า มันอยู่ในมือของชนชั้นนำและนายทุนทั้งหมดทั้งสิ้น --- และเราจะไม่มีวันได้ "ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม" จากกลุ่มคนเหล่านี้
ระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมจะต้องสร้างรากฐานจากล่างสู่บน คนธรรมดา,แรงงาน,เกษตรกร,วิสาหกิจรายย่อย จะต้องท้าทายกับอำนาจนิยมเหล่านั้น ด้วยวิถีทางใหม่ๆ เช่น สร้างสหกรณ์การผลิต-การค้า , ปฎิเสธโลกาภิวัฒน์ของนายทุน , สร้างการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์-บริหารธุรกิจ ทางเลือกขึ้นมา เป็นต้น
ถ้าระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันงี่เง่าและไม่ได้เรื่อง
ก็จงช่วยกันออกแบบใหม่ และก็ลงมือสร้างมันขึ้นมาซ๊ะ! ด้วยน้ำมือของ "คนเล็กๆ" อย่างพวกเรา!
อคติและคำตอบ เกี่ยวกับ "การสร้างเศรษฐกิจที่เป็นธรรม"
อคติ : ระบบทุนนิยมเกี่ยวโยงกับระบบตลาดอย่างเป็นโครงสร้างที่แยกกันไม่ออก ไม่สามารถที่จะแยกส่วนในการวิเคราะห์ได้
คำตอบ : ความต้องการของมนุษย์และสภาพแวดล้อมที่เป็นโครงสร้างต่างหากที่เป็นปัญหา ระบบตลาดเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสร้างสรรค์ผลงานการผลิตของมนุษย์ ซึ่งสามารถสร้างโครงสร้างความยุติธรรมและประชาธิปไตยเข้าครอบวิธีการนี้ได้
อคติ : การทำลายระบบตลาดคือคำตอบของเศรษฐกิจที่เป็นธรรม
คำตอบ : ถูกต้อง นั่นคืออีกหนทางในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรม แต่การคงไว้ซึ่งระบบตลาดที่ปราศจากความโลภของมนุษย์ เพื่อการแลกเปลี่ยนสร้างสรรค์ ก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง การจะปฎิเสธว่ามนุษย์ไม่สามารถพัฒนาจริยธรรมของตนไปถึงขั้นที่ไม่เอาเปรียบคนอื่นๆได้นั้น เป็นการดูถูกมนุษย์มิใช่น้อย
อคติ : ไม่มีทางที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมนี้ได้ในเร็ววัน
คำตอบ : ถูกต้องอีกเช่นกัน แต่การละทิ้งความหวัง หรือได้แต่วิจารณ์โดยไม่ทำให้อะไรดีๆ เกิดขึ้น น่าที่จะเป็นการกระทำที่ดูสิ้นหวังเสียกว่า ;-)
ฯลฯ
.....................................................................................
ประกอบการเขียน - แหล่งข้อมูลแนะนำ
นิตยสาร Dollars & Sense ฉบับ november-december 2004
นิตยสาร Dollars & Sense ฉบับ july-august 2006
หนังสือ "when corporation Rule the world" - David C.Korten
หนังสือ "The Post-Corporate World : Life After Capitalism" - David C.Korten
หนังสือ "No Logo" - Naomi Klein
หนังสือ "Fences and Windows : Dispatches from the front lines of the globalization debate" - Naomi Klein
หนังสือ "The Accidental Theorist and Other Dispatches from the Dismal Science" - Paul Krugman
หนังสือ "Parecon Life After Capitalism" - Michael Albert
หนังสือ "What is the real Marxist tradition" - John Molyneux
http://en.wikipedia.org/wiki/Fair_trade
http://en.wikipedia.org/wiki/Trade_justice
http://www.fairtraderesource.org/
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)