Skip to main content
sharethis

โดย : วิทยากร บุญเรือง


 



 


 "ไม่ว่าผู้โจมตีจะปฏิบัติการไปเองหรือทำตามคำสั่งของรัฐบาลของตน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นทหารประจำการหรือนักรบเถื่อน แต่ถ้าหากมุ่งโจมตีผู้ก่อการร้ายแล้วไซร้ ก็ต้องถือว่ามันผู้นั้นเป็นผู้ก่อการร้าย"


                                                                                                -มหาเธร์ มูฮัมหมัด-


 


ณ ห้วงเวลานี้ได้พิสูจน์แล้วว่า "Operation Enduring Freedom"* ของฝ่ายจักรวรรดินิยม (ใช้ศัพท์แสงตามแบบอย่างฝ่ายซ้าย:-) ไม่ได้สิ้นสุดลงตรงที่การ 'ไสรถถังบุก-ยิงจรวดถล่ม" ดินแดนเมโสโปเตเมีย เพื่อเข้าไปค้นหาอาวุธเคมีในอิรัก แล้วกลับกลายเป็นว่า เจอะเจอเพียงกระสอบปุ๋ยและถังยาฆ่าแมลงยี่ห้อ "ปาป้าซัดดัม" พร้อมด้วยการใช้ควันรมซัดดัมให้ออกมาจากหลุมหลบซ่อน เพื่อนำซัดดัมออกมารับโทษทัณฑ์ที่ทำไว้กับชาวเคิร์ดและประชาชนอิรัก…


 


(*ก่อนหน้านั้นใช้คำว่า Operation Infinite Justice แต่ถูกนักการศาสนาต่อต้าน เนื่อจากนำคำมาจากพระคัมภีร์ไบเบิล)


 


อัฟกานิสถานกับอิรักเป็นชาติแรกๆ ที่ได้รับความซวยอย่างมหันต์หลังตึกแฝด สัญลักษณ์แห่งโลกทุนนิยมพังทลายลงด้วยน้ำมือของกลุ่มคนที่ได้รับเกียรติให้เป็น "ผู้ก่อการร้าย" จากคนซีกโลกหนึ่ง และเป็น "วีระบุรุษ" ของคนอีกซีกโลกหนึ่ง การกระทำการบางสิ่งบางอย่างของ "มนุษย์ในฐานะองค์ประธาน" ณ สถานที่,เวลา,สถานการณ์,สิ่งแวดล้อม (ที่นักวิชาการเรียกให้งงๆว่า "บริบท") ที่ต่างกัน ย่อมไม่สามารถจำกัดความตามความหมายให้เป็น "ชุดความคิด" ที่จะชี้ให้คนเชื่อในแนวทางเดียวกันเป็น "เอกเทศแบบแกะไม่ออก" .. อย่างนั้น คงทำไม่ได้ ในยุคที่มนุษย์มีอิสระที่จะสมาทานเอาแนวคิดอันหลากหลายเป็นเข็มทิศนำชีวิต เฉกเช่นปัจจุบัน


 


"การก่อการร้าย" เป็นชุดความคิดที่น่าจะถูกตีความแบบเป็นกลางได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ "การกระทำที่ทำให้พลเรือนได้รับความเสียหาย" … แต่ก็นั่นแหละ! มันเพียงแค่ "ที่น่าจะ" เป็นอย่างนั้น และความจริงมันต้องเป็นแบบนั้น ถ้าหากมันไม่มีเรื่องของ "อำนาจ" เข้ามาเกี่ยวข้อง


 


ในอดีต เมื่อกองทัพอยุธยา ยาตราลงไปทำศึกกับปัตตานี นอกจากจะเข่นฆ่าทหารแล้ว(ซึ่งส่วนมากทหารของทั้งสองฝ่ายก็เป็นไพร่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ต้องถูกบังคับให้ฟาดฟันกันก็เนื่องด้วยความตะกละตะกลามในอำนาจของฝ่ายปกครอง!) ก็เป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงการทำร้ายพลเรือนฝ่ายตรงข้าม…การกระทำย่ำยีต่อพลเรือนแบบนี้เรียกการก่อการร้ายได้หรือไม่?


 


และก็ไม่ต้องย้อนอดีตอะไรให้มากมาย ถ้าแค่การที่จะหาฝ่ายตรงข้ามรัฐ แต่ฝ่ายปกครองกลับไร้ความสามารถในเชิงสอบสวนสืบสวน กลับหว่านแห ทรมาน-อุ้มฆ่าพลเรือน อย่างนี้จะเรียกการก็การร้ายได้หรือไม่?


 


จากสองกรณีที่ยกมา ตามมารยาทของประชาชนที่ดีของรัฐหนึ่ง ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเรียกมันว่าเป็นการก่อการร้าย กรณีนีแรกมันคือ "ความสูญเสียที่ยอมรับได้ในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของชาติ" ส่วนกรณีที่สอง ไม่เอา..อย่าไปพูดถึง มันเป็นเรื่องเปราะบาง เป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ ที่พลเรือนอย่างเรามันงี่เง่า..ไม่สมควรรับรู้ :-)


 


ต่อไปเราพูดถึงเรื่องสงครามดีกว่า …แต่ก็อีกแล้ว ปัจจุบันมันไม่ได้ถูกเรียกว่า "สงคราม" เฉยๆ โดดๆ อีกต่อไป มันถูกยุคสมัยขัดเกลาให้มันมีศัพท์แสงที่ยุ่งยากในการใช้ตรรกมาตรฐานของแต่ละมุมมองมาวัด คือ "สงครามก่อการร้าย" และ "สงครามต้านการก่อการร้าย"


 


การทำสงครามกดปุ่ม ถล่มดินแดนทะเลทรายให้เละตุ้มเป๊ะด้วยยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย เพื่อหาใครซักคนที่ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วใครล่ะซวย ก็ชาวบ้านไง - - - นี่แหละ "สงครามต้านการก่อการร้าย"


 


การมัดตัวด้วยระเบิด แล้วโจมตีฝรั่งหัวแดงหัวทองหัวขาวในผับ - - - นี่ "สงครามก่อการร้าย"


 


แล้วสมมติว่าถ้าหน่วยปฏิบัติการ Operation Enduring Freedom บุกเข้าไปในดินแดนหนึ่ง เพื่อควานหาผู้ก่อการร้าย และก็อย่างว่าที่จะต้องมีการต้านทานจากพลเรือนที่ไม่เห็นด้วย อาจเพราะความเคียดแค้นที่คนของพวกเขาต้องสูญเสีย หรืออย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย แต่พวกเขาเพียงแค่ปกป้องมาตุภูมิและศักดิ์ศรีของพวกเขา - - - เราจะเรียกว่าอย่างไรดี "สงครามต่อต้านผู้อ้างตัวว่าต่อต้านการก่อการร้ายโดยผู้ก่อการร้าย" ดีมั๊ย? :-)


 


ความรุนแรงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนนั้น "อำนาจ" เป็นตัวตัดสินทั้งสิ้นว่ามันจะเป็นอะไร การก่อการร้าย หรือ ความสูญเสียที่ยอมรับได้


 


"อำนาจ" นี้มันมาในรูปแบบของ - คำพูด,กฎหมาย,ประวัติศาสตร์,การปลุกระดมความรู้สึกร่วม(ที่เรียกว่าสื่อนั่นแล) ฯลฯ และปัจจุบัน แนวโน้มของอำนาจเหล่านี้ อยู่ในมือของ "นายทุน-ฝ่ายปกครอง-บรรษัท" เกือบทั้งสิ้น ดังนั้น มันจึงจำกัดความให้ กองกำลังเถื่อนที่จัดตั้งโดยประชาชนผู้ได้รับความอยุติธรรมว่า "ผู้ก่อการร้าย" ขณะที่กองกำลังที่จัดตั้งและติดสรรพแสงอาวุธทันสมัยที่ซื้อจากบรรษัทข้ามชาติ มีธงของรัฐชาติแปะอยู่ตรงหัวไหล่และหน้าอกว่า ได้รับคำจำกัดความว่า "รั้วของชาติ" หรือ "ผู้ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพของโลก" ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะเป็น "กองกำลังเถื่อน" หรือ "กองกำลังถูกกฎหมาย" ทั้งสองมันก็พร้อมหรือได้ทำร้ายพลเรือนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปพอสมควรแล้ว (ฝ่ายหลังอาจจะทำไปมากกว่าเสียด้วยซ้ำ)


 


การนิยามคำ "ก่อการร้าย" จึงเป็นการเลือกปฏิบัติโดย "อำนาจ" และเป็น "อำนาจ" ที่บิดเบี้ยวพอสมควร ในบทต่อไปจึงจะขอนำเสนอสาเหตุในการเลือกที่จะบิดเบี้ยวของมัน ..


 


 


อำนาจของ Empire และ Hubbert"s Peak


 



 


"บรรดาผู้ที่ยกตนไม่ถึงระดับศีลธรรมขั้นต่ำสุดที่จะต้องประยุกต์ใช้มาตรฐานเดียวกับที่เรียกร้องเอาจากคนอื่นเข้ากับกรณีตัวเองด้วยนั้น ซึ่งเอาเข้าจริง พวกเขาก็มักเรียกร้องเอาจากคนอื่นด้วยมาตรฐานเข้มงวดกว่าที่ใช้กับตัวเองด้วยซ้ำไป คนเหล่านี้จะไปเอาเป็นจริงเป็นจังไม่ได้เมื่อพวกเขาพูดถึงเรื่องความเหมาะสมของการตอบโต้ หรือเรื่องถูกกับผิด ดีกับชั่วก็ตามที"


-นอม ชอมสกี้-


 


 


ขณะนี้ Negri คงจะยอมกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วยอมรับว่า Empire มิได้เป็นนามธรรม รวบยอดเอารัฐชาตินายทุน-ฝ่ายปกครอง-บรรษัท เป็นพวกพ้องจักรวรรดินิยมเดียวกันหมด มันทำให้เราหวนไปถึงยุคล่าอาณานิคม การแสวงหาดินแดนใหม่ๆ การช่วงชิงผลประโยชน์จากพลเรือนแห่งโลกใหม่ ในนามของกษัตริย์ผู้ทรงเกียรติของแต่ละจักรวรรดิ(ที่มีขุนนางพ่อค้าวาณิชได้รับอานิสงค์ด้วย) แต่ขณะปัจจุบันจักรวรรดินิยมเหล่านี้กระทำการย่ำยีพลเรือนในที่แห่งหนต่างๆ ในนามของ "ลัทธิตลาดผูกขาดและสงครามต่อต้านการก่อการร้าย"


 


ทันทีที่สหรัฐประกาศสงครามกับผู้ก่อการร้าย ลูกกระจ๊อกของสหรัฐทั่วโลกก็ได้ใช้มันเป็นข้ออ้างในการจำกัดเสรีภาพของฝ่ายตรงข้ามของ "รัฐนายทุน-ฝ่ายปกครอง-บรรษัท" ของตนเอง หรือแม้แต่กรณีฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐเช่น พม่า ก็ยืมตรรกนี้ไปใช้ในการปราบชนกลุ่มน้อย ในทางเดียวกันคู่แข่งทางด้านยุทธศาสตร์อย่างรัสเซียก็นำมันไปใช้กับกรณีของเชสเนีย และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จีนจะ "ยืม" นำไป "ใส่ไคล้" ใช้กับ "ทิเบต" และ "ไต้หวัน" บ้าง?


 


ในตอนนี้ สหรัฐต้องพยายามรวบรวมสรรพกำลังของพันธมิตรที่เหนียวแน่นอย่างอังกฤษและอิสราเอล เพื่อทำการยึดครองตะวันออกกลางอย่างเบ็ดเสร็จเร็ววัน ในขณะที่จักรวรรดินิยมอื่นกำลังตั้งตัวไม่ทัน - สหภาพยุโรปยังไม่มีทีท่าที่จะเป็นปึกแผ่น , รัสเซียก็ได้ผ่านช่วงเวลาอันหวานชื่นมาแล้ว ส่วนจีนคงจะมาช้าไปสำหรับภูมิภาคที่อยู่ใกล้มือตนเองแท้ๆ


 


น้ำมัน เป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญต่อยุทธศาสตร์การพัฒนา "จักรวรรดิทุนนิยม" ของทุกรัฐชาติ ทำไมอังกฤษถึงเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับสหรัฐนะเหรอ ลองไปถามกิจการน้ำมันข้ามชาติสัญชาติอังกฤษดูสิ! ... เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า "ความเป็นชาตินิยม" ของหลายๆ ชนชาติในโลกยุคนี้ยังไม่ได้สลายสูญหายไปตามกระแสครอบโลก(Globalization) และมันอาจผสมผสานกับ "ชนชั้นนิยม" เพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากกระแสครอบโลก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นกลุ่มผลประโยชน์จากข้างบนโครงสร้างของสังคมทั้งนั้น ดังนั้นแต่ละรัฐชาติและบรรษัทที่มีอิทธิพลจึงจำเป็นต้องร่วมมือกัน เข้าถึงปัจจัยการผลิตที่กำลังจะหดหายนี้ ให้เร็วและจ่ายมันในราคาที่ถูกที่สุด แต่ก็ไม่ใช่การนำไปหล่อเลี้ยงประชาชนส่วนใหญ่ หากเป็นการสร้างสเถียรภาพและคงอำนาจไว้ของกลุ่มนายทุนและคนข้างบนโครงสร้างสังคมของแต่ละ Empire นั้นๆ (สหรัฐ,อังกฤษ,จีน,สหภาพยุโรป)


 


การเข้าให้ถึงทองคำสีดำนี้ ทุกๆ Empire ก็ต่างกระเสือกกระสนใช้ทุกวิถีทาง ไม่ว่ามันจะ "หน้าด้าน" มากถึงมากที่สุดแค่ใดก็ตาม จะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจอย่างไรก็ไม่ทราบ หลังตึกแฝดทลายลงในเหตุการ 9/11 ลู่ทางในการเข้าไปใกล้ขุมน้ำมันของจักรวรรดินิยมจึงเปิดแง้มให้เห็นแสงสีทองรำไรๆ อีกครั้ง และพันธมิตรจักรวรรดินิยม "สหรัฐ-อังกฤษ" ก็ลงสู่สนามก่อนเพื่อน


 


ในราวช่วง ทศวรรษที่ 1920 ขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ เรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งกลับทำเรื่องที่น่าชวนหัว ด้วยการเขียนรายงานออกเตือนบรรดากิจการน้ำมันส่วนใหญ่ถึงเรื่องความไม่เพียงพอในการนำน้ำมันไปใช้


 


ความไม่พอเพียงต่อการนำไปใช้นั้นก็คือ จุดหรือช่วงเวลาที่ปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกจะเพิ่มจนถึงจุดสูงสุด และไม่สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตได้อีก ถึงแม้ว่าน้ำมันจะยังไม่หมดไปในทีเดียว


 


บุคคลที่นำเรื่องที่น่าขันนี้ไปต่อยอดก็คือ Dr. Marion King Hubbert นักธรณีฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ซึ่ง Hubbert ได้ทุ่มเททั้งชีวิตกับการศึกษาเรื่อง "ความไม่เพียงพอสำหรับน้ำมันต่อการนำไปใช้" นี้อย่างจริงจังและได้ข้อสรุปที่เรียกว่า "Hubbert"s Peak" .. และเชื่อว่าขณะนี้อยู่ในแฟ้มแผนงานฝ่ายนโยบายยุทธศาสตร์ของทุก Empire ที่ได้กล่าวไป (ถ้าไทยอยากเป็นจักรวรรดินิยมจริงๆจังๆ ก็น่าที่จะเก็บข้อมูลตรงนี้ไว้บ้าง :-)


 


คำอธิบายถึงหลักการของ Hubbert แบบง่ายๆ ก็คือ * แบบแผนของการผลิตน้ำมันในแต่ละแหล่ง มิได้เริ่มต้นจากศูนย์ และเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่ง และมีปริมาณการผลิตที่คงที่ ณ จุดนั้นเป็นระยะเวลานาน ก่อนที่จะลดลง และหมดไปในที่สุด แต่ปริมาณการผลิตน้ำมันในแต่ละแหล่งมีแนวโน้มที่กระจายตัวเป็นแบบระฆังคว่ำ (Bell-shaved curve) กล่าวคือ ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้น ก่อนจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง และถึงจุดสูงสุดในที่สุด ต่อจากนั้นก็จะลดลง จนหมดไป


 


และหากมองในภาพรวมก็จะพบว่า น้ำมันที่นำมาใช้ก็มักจะมาจากแหล่งที่ขุดพบได้ง่ายก่อน ต่อจากนั้นจึงมาจากแหล่งที่ขุดพบยากขึ้น ยากขึ้นทุกที ดังนั้น เมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ปริมาณการผลิตก็จะเริ่มลดลง แม้ว่าจะมีความพยายามในการเพิ่มหลุมเจาะมากขึ้นก็ตามที ในทางการคำนวณ หากปริมาณการผลิตน้ำมันมีการกระจายตัวแบบระฆังคว่ำจริงดังที่ Hubbert ได้ทำการสังเกตและค้นพบไว้ จุดสูงสุดของการผลิตน้ำมันก็จะเป็นจุดที่ปริมาณการผลิตสะสม (หรือปริมาณการผลิตโดยรวมตั้งแต่ที่เราเริ่มขุดเจาะน้ำมันเป็นต้นมา) เท่ากับ ครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก หรือก็คือ จุดกึ่งกลางของรูประฆังคว่ำนั่นเอง


 


ในเบื้องต้น Hubbert ได้พยากรณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันสูงสุดของสหรัฐฯ ไว้ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐจะถึงจุดสูงสุดในปี ค.. 1966 (หากปริมาณน้ำมันทั้งหมดของสหรัฐฯ เท่ากับ150,000 ล้านบาร์เรล) หรือในปี ค.. 1972 (หากปริมาณน้ำมันทั้งหมดเท่ากับ 200,000 ล้านบาร์เรล) ความเป็นจริงปรากฏว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันสหรัฐฯ ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดในปี ค.. 1970 และมีแนวโน้มการผลิตที่ลดลงเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ด้วยวิธีการเดียวกัน Hubbert ได้พยากรณ์ปริมาณการผลิตน้ำมันสูงสุดของโลก ไว้ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกจะถึงจุดสูงสุดในปี ค.. 1990 (หากปริมาณน้ำมันทั้งหมดของโลก เท่ากับ1.3 ล้านล้านบาร์เรล) หรือในปี ค.. 2000 (หากปริมาณน้ำมันทั้งหมดเท่ากับ 2.1 ล้านล้านบาร์เรล)


* เดชรัตน์ สุขกำเนิด จากเอกสารประกอบการเสวนาเรื่อง "พลิกพลังงานสู่ความเป็นไท.: การปฏิรูประบบพลังงานด้วยพลังประชาธิปไตย" - 30 .. 2549 ห้องประชุมสตรีศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


 


ปัจจุบัน แนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง และนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ ได้นำไปพัฒนาต่อ ซึ่งได้คำนวณมาแล้วว่าปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกจะถึงจุดสูงสุดไม่เกินปี ค.. 2010 ซึ่งในตอนนี้ในส่วนต่างๆ ของโลกได้เลยจุดที่ว่าไปแล้ว ยกเว้นในภูมิตะวันออกกลาง


 


และในตะวันออกกลางเองก็เหลือเพียง 4 ประเทศเท่านั้นที่ปริมาณการผลิตน้ำมันจะยังไม่ถึงจุดสูงสุด คือ คูเวต (เหลือเวลาอีก 22 ปี จึงจะถึงจุดสูงสุด) ซาอุดิอาระเบีย (เหลืออีก 25 ปี) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เหลืออีก 31 ปี) และ อิรัก (เหลืออีก 30 ปี :-)


 


... นี่เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่ถึงมูลเหตุที่แท้จริงของฝ่ายจักรวรรดินิยม ในการพยายามยุแยงให้ภูมิภาคตะวันออกกลางไร้เสถียรภาพ เพื่อพร้อมที่จะแทรกแทรงและยึดกุมทรัพยากรที่มีค่าสูงสุดในปัจจุบัน


 


รัฐอิสราเอลก็น่าที่จะรู้ดีว่า พันธมิตรจักรวรรดินิยมอเมริกัน-อังกฤษ ไม่เคยคิดที่จะให้ภูมิภาคนี้สงบจนกว่าตนเองจะเข้ามาครอบงำทุกอย่าง อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็อย่างว่าที่ขบวนการ Zionist ได้สร้างศัตรูไว้มากเกินที่จะทำให้เกิด "ความสมานฉันท์" ได้ง่าย จึงกลายเป็นว่ารัฐอิสราเอลลงเรือลำเดียวกับพันธมิตรจักรวรรดินิยมสหรัฐ-อังกฤษ ไปแล้ว


 


แน่นอนว่า ความรุนแรงในตะวันออกกลาง อย่างน้อยเรื่องเชื้อชาติศาสนาก็คงจะมีเจอปนบ้าง แต่มันก็เป็นมาพันๆ กว่าปีและความรุนแรงไม่ได้น่ากลัวมากมายมากนัก หากแต่ความรุนแรงอันอัปลักษณ์อย่างเช่นในปัจจุบัน เป็นเหตผลที่เกี่ยวเนื่องมาจากความมักมากของ "นายทุน-ฝ่ายปกครอง-บรรษัท" ที่ร่วมกันสร้างจักรวรรดินิยมใหม่ หลายๆจักรวรรดินิยมเพื่อกดขี่ ขูดรีด คนหมู่มาก บนผืนพิภพแห่งนี้


 


และเหตุผลพื้นฐานที่เรียบง่ายต่อการอธิบายปรากฎการณ์ ก็คือ การผลิตของระบบทุนนิยมที่ไม่มีการวางแผนสำหรับความเท่าเทียมและเพียงพอกับความต้องการของมนุษย์..บนโลกซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะให้พวกเราดูดทรัพยากรได้ไปอีกนานเท่าไหร่? --- นี่แหละ! ที่สำคัญที่สุด


 


 


(เตรียมพบกับรายงานพิเศษ "เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ Zionism,Hezbollah,Hamas และขบวนการต่อต้าน Zionism ในเลบานอน" … โดย - วิทยากร บุญเรือง เร็วๆ นี้ที่ ประชาไท)


 


 


ข้อมูลเพิ่มเติม


 


ใจ อึ้งภากรณ์ "ความปวดร้าวของเลบานอนและความป่าเถื่อนของอิสราเอล" ใน เลี้ยวซ้าย สิงหาคม 2549


 


วิทยากร บุญเรือง "อำนาจ-การต่อสู้-การก่อการร้าย : และฝ่ายซ้ายควรใช้ความรุนแรงแบบไหน" ใน เลี้ยวซ้าย สิงหาคม 2549


 


Alex Callinicos "This is Bush"s war too" ใน Socialist Worker ฉบับที่ 2011 , 29 .. 2006


 


Jonathan Barker "The No-Nonsense Guide to Terrorism " (เกษียร เตชะพีระ แปลแล้ว "คู่มือการก่อการร้ายแบบไม่งี่เง่า")


 


Michael Hardt and Antonio Negri "Empire" (ฉบับอ่านฟรีที่ www.textz.com )


 


www.hubbertpeak.com


 


ภาพยนตร์เรื่อง Fahrenheit 9/11 (โดย Michael Moore)

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net