"ไม่ว่าใครมาทำ ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นกับพวกเรา ฉะนั้นแล้วการต่อสู้จึงต้องดำเนินต่อไป" เป็นคำกล่าวอย่างหนักแน่นของชาวบ้านในจ.อุดรธานี ในพื้นที่ที่จะมีโครงการทำเหมืองแร่โปแตซจากกลุ่มทุนต่างชาติ ทันทีเมื่อทราบข่าวว่ากำลังมีการผลัดเปลี่ยนตัวละคร กลุ่มผลประโยชน์จากบริษัทเอเชีย แปซิกฟิก โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เอพีพีซี) กลายร่างไปเป็นบริษัทอิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเข้ามาสวาปามเอาทรัพยากรธรรมชาติของคนอุดรฯ โดยซื้อหุ้นเอพีพีซีทั้งหมด 90% (อีก 10%เป็นหุ้นลมของรัฐบาล) คิดเป็นมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท
หากใครนึกไม่ออกว่าเป็นใครมาจากไหนก็ลองย้อนรำลึกไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีข่าวเรื่องการคอร์รัปชั่นกันอย่างเกรียวกราวในช่วงที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งเหมืองถ่านหินแม่เมาะจังหวัดลำปาง ที่ทุกวันนี้ก็ยังย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่ได้ไม่หมดเสียที บริษัทฯ นี้ก็ได้รับสัมปทานในการดำเนินการด้วยเช่นกัน (แสดงว่ามีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลมิใช่เล่น) โดยเข้ามาพร้อมกับการเดินหน้าล็อบบี้กับข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ตลอดจนพ่อค้า นักธุรกิจภายในจังหวัด ป่าวประกาศต่อสาธารณชน อ้างตนว่าเป็นทุนสัญชาติไทย แต่แล้วกลับพบว่าดันไปจัดตั้งบริษัทจดทะเบียนเป็น นอมินี ภายใต้ชื่อ "SMRT" ในต่างประเทศ
ขณะที่ทุนต่างชาติแปลงร่าง เปลี่ยนสัญชาติในการเข้ามาช่วงชิงทรัพยากรของคนท้องถิ่น ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานีก็ไม่หยุดนิ่งตั้งรับความเปลี่ยนแปลง ยังคงเดินหน้าเพื่อต่อสู้กับทุนอยู่ต่อไป ล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ชาวบ้านในกลุ่มอนุรักษ์อุดรฯ ในพื้นที่ 4 ตำบล ได้แก่ ต.ห้วยสามพาด และ ต.นาม่วง กิ่ง อ.ประจักษ์ศิลปาคม ต.หนองไผ่ และ ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานีได้ร่วมมือกันพลิกผืนดินจำนวน 25 ไร่ ณ บ้านวังขอนกว้าง ต.ห้วยสามพาด กิ่งอ.ประจักษ์ เป็น "นารวม" ร่วมมือกันทำนา และมีมติร่วมกันว่าผลผลิตที่ได้จากการทำนา จะนำเข้ากลุ่มเพื่อเป็นกองทุนในการต่อสู้กับแผนประชาสัมพันธ์ของบริษัทใหม่ที่ทุ่มเทลงมาสร้างภาพ ที่มีงบประมาณนับสิบล้านบาทต่อปี
พอเริ่มเข้าหน้าฝนชาวบ้านทั้ง 4 ตำบล 22 หมู่บ้านต่างตระเตรียมพื้นที่นาของตนเอง เช่น ขนขี้วัว ขี้ควายไปใส่ , ปั้นคันนาเพื่อกักเก็บน้ำ , ตรวจตราความพร้อมของไถ คราด เป็นต้น ท้องทุ่งเริ่มครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการผลิตกระสุนดินดำ เพื่อเก็บไว้ใช้ต่อสู้กับนายทุนในปีถัดไปได้เริ่มขึ้นแล้ว และปีนี้ก็ยังเหมือนเดิมกับการเพาะปลูก ทำการผลิตตามฤดูกาลจากท้องไร่ท้องนาอันอุดมสมบูรณ์สู่ยุ้งฉางที่รอการบรรจุ เพื่อเก็บไว้สำหรับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เหลือก็ขายไปบ้างได้เงินมาซื้อของใช้ภายในครอบครัว และส่งเสียลูกเต้าเล่าเรียน แต่จุดมุ่งหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือเก็บไว้รอ "บุญกุ้มข้าวใหญ่" เพื่อจะนำข้าวมารวมกันแล้วนำไปขายเอาเงินมาต่อสู้กับบริษัท
ปีนี้ถือเป็นปีพิเศษกว่าทุกปี คือชาวบ้านในพื้นที่ได้มีปณิธานแน่วแน่ร่วมกันอยู่ 2 ประเด็น คือ 1. จะร่วมกันทำนารวมเพื่อเป็นทุนกลาง นอกเหนือจากการสมทบข้าวเปลือกจากชาวบ้านแล้วให้มีจำนวนทวีคูณเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ทราบข่าวมาว่าบริษัทใหม่มีเงินเยอะมาก ฉะนั้นจึงต้องมีกองทุนให้มากเพิ่มขึ้นด้วยเพื่อจะเอามาต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง 2. จะพลิกฟื้นแผ่นดินด้วยเกษตรอินทรีย์ ไร้ปุ๋ยเคมี ไม่มีเหมืองแร่ ซึ่งเป็นการปักธงแสดงออกถึงความพร้อมสู้ระยะยาวทั้งภายนอกและภายในพื้นที่
นารวมยังถือว่าเป็นการต่อสู้กับ "ระบอบทุนนิยม" อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนมีความเชื่อมั่น หลงใหลในการจับจ่ายใช้สอยจากเงินที่ตนเองหามาได้หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า "ลัทธิบูชาเงิน"หรือ "บริโภคนิยม" ครอบงำให้คนเรามีความเป็นปัจเจก ไม่ให้เกิดการรวมกลุ่ม ไม่ต้องสนใจเรื่องของชุมชน เรื่องของสังคม เรื่องของคนอื่น คิดเพียงว่าจะบำรุงบำเรอตนเอง ครอบครัวอย่างไรดี ให้เท่าทันกระแสโลกาภิวัตน์ และเชื่อในความล้ำสมัยของเทคโนโลยีที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เหมืองแร่โปแตชก็คือสัญลักษณ์ของระบอบทุนนิยมอย่างหนึ่ง
หากเปรียบกับการทำนาคือก็รีบทำให้เสร็จ ว่าจ้างเครื่องจักร แรงงาน อัดปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงลงไปเพื่อให้ได้ผลผลิตมากๆ จะได้ขายได้ราคาดี เอาเงินมาใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค บริโภคต่อไป ไม่สนใจว่าจะต้องไปรวมข้าวรวมกลุ่มกันทำไม ตลอดจนฮีต คลอง ประเพณี ที่มีการยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมา
แต่ละคนที่มาร่วมทำนารวม ต่างก็มีที่ไร่ที่นาของตนเองที่ใช้ทำมาหากินกันเป็นประจำอยู่แล้ว นารวมก็คือพื้นที่กลางการรวมกลุ่มร่วมกันเพาะปลูก ร่วมกันเก็บเกี่ยว ร่วมกันดูแลรักษา ขอแรงช่วยกันทำโดยไม่ได้มีการว่าจ้าง หากแต่เกิดจากความตั้งใจจริงของแต่ละคนโดยนำเครื่องไม้เครื่องมือมาร่วมกันทำ ห่อข้าวห่อปลามากินร่วมกัน ข้าวทุกเมล็ดที่เกิดจากหยาดเหงื่อที่ได้ก็เป็นของทุกคนที่ได้ร่วมกันมีส่วนร่วม มีหลักปฏิบัติตามธรรมเนียม ประเพณีของชุมชน เช่น พิธีการเลี้ยงผีปู่ ตา , การปักกกแฮก , การลงแขกเกี่ยวข้าว , พิธีการปลงข้าว เป็นต้น จึงเรียกได้ว่า "ข้าวมีชีวิต ชีวิตพึ่งพาข้าว" และแน่นอนพื้นที่นาต้องปราศจากปุ๋ยเคมีหรือสารพิษทั้งมวล
การพลิกฟื้นผืนแผ่นดิน ก็คือการนำเอาภูมิปัญญา หรือวิถีการผลิต การเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินดั้งเดิมที่ปู่ ย่า ตา ยาย ได้สั่งสมองค์ความรู้แล้วถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง แต่พอมาถึงยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงกลับถูกเลือนหายไปตามกระแสทุน ทำให้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง เครื่องจักรกล รวมทั้งการว่าจ้างแรงงานเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการเฮ็ดอยู่เฮ็ดกิน นำมาซึ่งค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจับจ่ายทั้งใน และนอกระบบ พื้นที่นาที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับถูกทำลายไปอย่างเฉียบพลันจากปุ๋ยหรือสารเคมีเหล่านั้น เพียงไม่กี่ปีหลังการใช้ ซึ่งก็ไม่ต่างกันกับยาเสพติดที่เสพจนเลิกไม่ได้ และมันน่าแปลกมากเมื่อพบว่าหน่วยงานของรัฐที่คอยพร่ำบอกถึงโทษ พิษภัยของยาเสพติดจำพวกนี้ที่เกษตรกรใช้ แต่กลับกลายเป็นว่าหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการ นักการเมืองทั้งหลายแหล่ ได้เป็นผู้นำมาจำหน่ายให้เกษตรกรใช้กันอย่างเมามันพร้อมกับโปรโมชั่นสนับสนุนโดย หากใครไม่มีเงินก็ยินดีให้กู้ก่อนแล้วค่อยผ่อนจ่ายทีหลัง ทำให้เกิด "วัฏจักรหนี้" อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นตามมา
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนได้ทำให้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นระบบนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งเดิมนั้นจะเป็นเครือญาติทำร่วมกัน หรือการขอแรงกันและกันภายในชุมชน แต่ทุกวันนี้แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ยังต้องมีการจ่ายค่าแรงด้วยซ้ำไปในบางครั้ง
เกษตรอินทรีย์ มักเรียกกันให้สวยหรู แต่มีรากฐานมาจากการเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินแบบดั้งเดิม โดยอาศัยทรัพยากรในชุมชนท้องถิ่นที่มีอยู่แล้ว เช่น ขี้วัว ขี้ควาย ใบไม้ เศษหญ้า มาทำเป็นปุ๋ย การขอแรงผลัดเปลี่ยนช่วยกันทำ แบ่งปันผลผลิตที่ได้ เป็นต้น ซึ่งจะนำมาสู่ความพอเพียงสอดคล้องกับแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปราศจากหนี้สิน มีกินมีใช้อย่างไม่ต้องคิดกังวล ทั้งนี้คนรุ่นก่อนได้ถือปฏิบัติ เป็นแนวทาง สั่งสมเป็นองค์ความรู้มาแล้ว เพียงแต่คนรุ่นหลังจะหยิบใช้มันได้อย่างไร
การต่อสู้ของชาวบ้านในพื้นที่โครงการเหมืองแร่โปแตช มิใช่เพียงการต่อสู้กับนายทุนหน้าเลือด โดยใช้วิธีการชุมนุมเรียกร้อง การยื่นหนังสือร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือวิธีการอื่นใดก็ตาม หากแต่มันต้องต่อสู้กับกระแสการไหลบ่าอันเชี่ยวกราดของการพัฒนา ต่อสู้กับความเชื่อ ความคิดภายในตัวของตนเองด้วย
"นารวม" ที่กลุ่มอนุรักษ์ฯ ช่วยกันผลักดันขึ้นมาจึงถือเป็นต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ไม่ต่างจากการปักธงเขียวในการต่อสู้รัฐธรรมนูญ เป็นการดึงเอาความคิด ความเชื่อที่เดิมมีอยู่แล้วแต่ถูกทำลายลงไป ไม่ว่าจะด้วยระบบการศึกษา แนวนโยบายของรัฐ หรือแม้แต่การมอมเมาของสื่อต่างๆ เองด้วย ให้ฟื้นกลับคืนมาอย่างมีความเชื่อมั่น เมื่อถึงวันนั้นก็เชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเหมืองโปแตชที่จะขุดเอาทรัพยากรใต้ผืนดินอุดร หรือภาคพื้นใต้ดินอีสานเพื่อนำไปผลิตปุ๋ยเคมี ก็จะไม่มีความจำเป็นกับชุมชน และเกษตรกรทั้งมวลที่ดำเนินวิถีการเฮ็ดอยู่เฮ็ดกินแบบดั้งเดิม.
เดชา คำเป้าเมือง
สำนักข่าวประชาธรรม
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)