หลังจากเมื่อเดือน ธ.ค.2548 ที่ผ่านมาได้มีข่าวการทำบันทึกความตกลง (MOU) ระหว่างกรมไฟฟ้าพลังน้ำ กระทรวงไฟฟ้า ประเทศสหภาพพม่า กับบริษัท การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (มหาชน) ประเทศไทย ตัวแทนรัฐบาลไทย เพื่อเตรียมจะดำเนินโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ หรือโครงการเขื่อนสาละวินจำนวน 4 เขื่อน โดยมีแผนจะเริ่มที่เขื่อนฮัตจี ด้วยกำลังผลิตระหว่าง 800-2,000 เมกะวัตต์ เป็นเขื่อนแรก
จนกระทั่ง มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรสาละวินวอชต์ และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อน ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้านการลงนามข้อตกลงในครั้งนี้ โดยได้แสดงความวิตกกังวลต่อการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส และไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังมีการเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโครงการและผลกระทบที่จะเกิดต่อประชาชนในฝั่งไทยและพม่า
เผยตัวแทนรัฐไทย-พม่า แอบลงนาม MOU สร้างเขื่อนสาละวิน อ้างเป็นความลับ
ในเอกสารบันทึกข้อตกลง หรือ MOU ดังกล่าว ซึ่งได้จากแหล่งข่าวคนหนึ่ง ได้ระบุเอาไว้ว่า หลักการในบันทึกข้อตกลงฉบับนี้และข้อมูลอื่น ๆ ที่กำหนดหรือพัฒนาขึ้นโดยคู่สัญญาและเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในโครงการ ให้เป็นความลับ โดยได้มีการระบุถึงแผนปฏิบัติงานที่วางไว้ดังนี้
ก.ย. 2548 ประมวลข้อมูลเบื้องต้น
พ.ย. 2548 การสำรวจพื้นที่ขั้นต้น, ก่อสร้างถนนเข้าพื้นที่
ธ.ค. 2548-เม.ย.2549 สำรวจพื้นที่เพิ่มเติม
พ.ค. 2549 รายงานเบื้องต้น
พ.ย. 2549 ร่างรายงานฉบับสุดท้าย
ธ.ค. 2549 รายงานฉบับสุดท้าย
พ.ย. 2550 เริ่มก่อสร้าง
ต้นปี 2556 - 2557 ดำเนินการในเชิงพาณิชย์
จากบันทึกข้อตกลงทั้งสองฝ่าย ที่ย้ำว่าต้องรักษาเป็น "ความลับ" นั้น ได้สร้างความคลางแคลงใจต่อกลุ่มพันธมิตรสาละวินวอชต์ และเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการเขื่อนเป็นอย่างมาก จนต้องร่วมกันออกแถลงการณ์ในตอนหนึ่ง ว่า โครงการที่เป็นการลงทุนด้วยเงินทุนจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐขนาดใหญ่ จะส่งผลให้คนจำนวนมากต้องอพยพหาที่อยู่ใหม่ ทั้งยังมีผลกระทบอย่างกว้างขวางทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม การเมืองและเศรษฐกิจ
ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับแผนการสร้างเขื่อน ไม่มีการพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ไม่มีการปรึกษาหารือกับผู้ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรา 58, 59 และ 60 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ทางกลุ่มพันธมิตรสาละวินวอชต์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและบริษัท กฟผ. ซึ่งยังคงเป็นหน่วยงานของรัฐ ให้ยกเลิกการลงนามในบันทึกความเข้าใจกับรัฐบาลทหารพม่าเพื่อร่วมทุนในการสร้างเขื่อน และไม่เข้าร่วมในโครงการใด ๆ ที่ไม่มีกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมและมีการชี้แจงข้อมูลอย่างถ่องแท้ ทั้งนี้ตามข้อเสนอจากคณะกรรมการเขื่อนโลกและบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไทย
นอกจากนั้น ยังได้เรียกร้องขอให้มีการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะโดยทันที ทั้งข้อมูลเกี่ยวกับโครงการและผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนในฝั่งไทยและพม่า โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการที่ผ่านมา รายงานการศึกษาผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ข้อตกลงด้านการร่วมทุน และบันทึกความเข้าใจซึ่งมีการลงนามไปตั้งแต่หลายปีก่อน และบันทึกซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2548
ย้ำรัฐบาลและนักลงทุนสร้างเขื่อน คือผู้ร่วมละเมิดสิทธิและก่ออาชญากรรมผู้คนในพม่า
จากรายงานของกลุ่มวิจัยด้านการพัฒนาของคะเรนนี ได้พูดถึงการสร้างเขื่อน ภายใต้รัฐบาลทหารพม่า เอาไว้ว่า นอกจากเขื่อน 13 แห่ง ซึ่งจะสร้างขึ้นทางตอนเหนือของน้ำในในประเทศจีนแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลทหารพม่าและรัฐบาลไทยได้เจรจาและลงนามในข้อตกลงหลายฉบับ เพื่อการสร้างเขื่อนหลายเขื่อนในแม่น้ำสาละวิน
ล่าสุด ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ(MOU) กับรัฐบาลทหารพม่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2548 เพื่อสร้างเขื่อน 4 เขื่อนในแม่น้ำสาละวิน และอีก 1 เขื่อนในแม่น้ำตะนาวศรี
ขณะที่เขื่อนในแม่น้ำสาละวินนั้น ได้แก่ เขื่อนท่าซาง เขื่อนเว่ยจี เขื่อนฮัตจี และเขื่อนตากวิน โดยเขื่อนท่าซาง อยู่ในรัฐฉาน ส่วนอีก 3 เขื่อนอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง ข้อตกลงล่าสุดได้เน้นความสำคัญที่โครงการเขื่อนฮัตจี ซึ่งเป็นเขื่อนที่อยู่ใกล้ชายแดนไทยมากที่สุดทางบริเวณบ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
เขื่อนทั้งหมดจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าประมาณ 15,000-20,000 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นมากกว่า 10 เท่าของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้โดยพม่าในปัจจุบัน โดยกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ผลิตได้จะถูกส่งไปที่ประเทศไทย ซึ่งมีแผนจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าให้ได้ถึง 40,000 เมกะวัตต์ในปี 2558
หลังจากการลงนาม MOU นาย
ทั้งคำพูดของผู้ว่าการ กฟผ.ทั้งคำพูดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ออกมาย้ำว่า โครงการนี้ "จะให้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย" โดยไม่คำนึงถึงว่า "รายได้ที่จำเป็นอย่างยิ่งก้อนนี้" จะตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลทหารพม่าที่โหดร้าย
รัฐบาลจากหลายประเทศ (โดยเฉพาะไทยและจีน) สถาบันการเงิน โดยเฉพาะการส่งเสริมโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย) และบริษัทต่าง ๆ ทั้ง บมจ.กฟผ.จำกัด, บมจ.MDX จำกัด ของไทย และษริษัทไซโนไฮโดรคอร์ปอเรชั่นของจีน ต่างมุ่งจะมีส่วนแบ่งในโครงการนี้ ผู้มีบทบาทเหล่านี้และคนอื่น ๆ ที่จะเข้าร่วมในโครงการกำลังและจะต้องทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารพม่า นั่นเท่ากับว่า พวกเขามีส่วนหนุนเสริมการละเมิดสิทธิและอาชญากรรมที่รัฐบาลทหารพม่าทำ ในช่วงที่มีการดำเนินการงานตามโครงการ
โต้ กฟผ.คาดการเกินจริง ลงทุนเกินจริง
ทั้งนี้ นาย
"กฟผ.มีความคิดใหญ่ทั้งระบบ พยายามจะเพิ่มกำลังผลิตอยู่ตลอดเวลา โดยมีบริษัทลูก เป็นระบบผูกขาด และพยายามสร้างแรงจูงใจ สร้างอำนาจการต่อรอง เพื่อให้รัฐยอมให้ กฟผ.สามารถคิดคำนวณค่าไฟเอง เพราะว่ายิ่งลงทุนมาก ก็จะได้กำไรมากเท่านั้น ด้วยการการเก็บค่าไฟที่สูงขึ้น เพราะฉะนั้น นี่เป็นภาระใหญ่ ไม่ใช่แค่คนแม่ฮ่องสอน แต่เป็นภาระของคนทั้งประเทศ และที่ผู้บริหาร กฟผ.พยายามต้องการจะเอา กฟผ.ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสุดท้าย ความเสียสละของคนแม่ฮ่องสอน คงจะไปตกอยู่กับผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่ราย
ซึ่งกลุ่มสาละวินวอชส์ ออกแถลงการณ์โต้ว่า ที่รัฐบาลไทยอ้างว่าการสร้างเขื่อนในประเทศเพื่อนบ้านทำให้ได้ไฟฟ้า "ราคาถูก" ถือว่า เป็นการมองข้ามต้นทุนที่แท้จริงทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า ลาว และประเทศอื่น ๆ ดังกรณีการสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2 ขนาด 1,070 เมกะวัตต์ ในประเทศลาว ทั้ง ๆ ที่มีการทักท้วงว่าจะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากมาย
นาย
จากความคลางแคลงใจข้างต้น จึงได้มีการจัดเวทีเรื่อง "คุณค่าสาละวิน" โดยทางผู้จัดได้มีการพาสำรวจพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อนสาละวินในเขตพื้นที่ของ จ.แม่ฮ่องสอน
เนื่องจากว่า โครงการเขื่อนสาละวิน นั้นประกอบด้วย เขื่อนฮัตจี เขื่อนท่าซาง เขื่อนดากวิน(เขื่อนสาละวินล่างชายแดน) และเขื่อนเว่ยจี(สาละวินบนชายแดน) ซึ่งในส่วนเขื่อนสาละวินบนชายแดนนั้น ยังประกอบด้วยเขื่อนในลุ่มแม่น้ำปาย อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน คือ เขื่อนปายชายแดน บริเวณบ้านน้ำเพียงดิน และเขื่อนปาย 6 บริเวณบ้านปางหมู
นั่นหมายความว่า การสร้างเขื่อนสาละวินในเขตพื้นที่ของพม่า นอกจากประชาชนในฝั่งพม่าจะได้รับผลกระทบจากการถูกน้ำท่วมแล้ว ในฝั่งไทยย่อมได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
ในเวทีได้มีการนำเสนอข้อมูลการสร้างเขื่อนฮัตจี จากแต่เดิมจะมีขอบเขตอ่างเก็บน้ำที่มีระดับความสูงของเขื่อน
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเขื่อนประเภทเดียวกันที่กั้นแม่น้ำโขง คือ เขื่อนมานวาล ซึ่งเป็นเขื่อนขนาด 1,500 เมกกะวัตต์ นั้นมีความสูงของเขื่อนถึง
นอกจากนั้น ได้มีการศึกษาผลกระทบของการสร้างเขื่อนเว่ยจี (สาละวินบน) ว่าผลของการสร้างเขื่อนเว่ยจี ซึ่งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ทางด้าน อ.แม่สะเรียง จะส่งผลกระทบทำให้เกิดน้ำจากแม่น้ำสาละวินทะลักหนุนเข้าท่วมขึ้นมาทางตอนท้ายของแม่น้ำปาย ในเขต อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอนเป็นวงกว้าง ตั้งแต่บริเวณบ้านน้ำเพียงดิน ยาวขึ้นไปถึงบริเวณท่าโป่งแดง
คนแม่ฮ่องสอนลุกจี้ ทำ EIA ก่อนสร้างเขื่อนสาละวิน
ซึ่งจากการเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ ได้ทำให้ประชาชนใน จ.แม่ฮ่องสอน เริ่มตื่นตัวที่จะต้องได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสาละวิน
นาย
หวั่นคนฝั่งพม่าทะลักหนีภัยน้ำท่วมเข้าฝั่งไทยนับแสน
จากรายงานผลกระทบด้านสังคมและความมั่นคงในชีวิตของชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-พม่า ของ "มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ" ระบุว่า ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-พม่า แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยในเขตแดนไทย และกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเขตแดนพม่า ซึ่งมีสถานภาพแตกต่างกันไป
โดยกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเขตแดนไทย มีทั้งผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า ผู้พลัดถิ่นลี้ภัยจากการสู้รบ กลุ่มนักศึกษา ปัญญาชน ผู้คงค้างจากการเดินทางเข้าเมืองโดยมีเอกสารการเดินทางถูกต้อง รวมทั้งผู้อพยพที่ลักลอบเข้ามาทำงาน ซึ่งประมาณว่ามีจำนวนผู้อพยพทั้งหมดประมาณ 1 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยได้จัดตั้งศูนย์อพยพตลอดแนวชายแดน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแม่ฮ่องสอน รวม 5 แห่ง มีผู้อพยพอาศัยอยู่ในค่ายประมาณเกือบ 5 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นผู้พลัดถิ่นลี้ภัยจากการสู้รบ และยังมีชนกลุ่มน้อยจากรัฐฉาน ได้เข้ามาอาศัยตามเขตแดนไทย-พม่า ในเขต จ.แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย อีกหลายหมื่นคน แต่รัฐบาลไทยไม่มีนโยบายเปิดศูนย์อพยพเพิ่มเติมในปัจจุบัน ชนกลุ่มน้อยจากรัฐฉานเหล่านี้จำต้องอาศัยหลบซ่อนอยู่ตามแนวชายแดน
รายงานระบุอีกว่า หากมีการสร้างเขื่อนสาละวิน ซึ่งจะเกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เข้าท่วมพื้นราบและที่ดอนริมแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำสาขา ทั้งในเขตไทยและพม่า และจะส่งผลทำให้ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาในเขตไทย ทั้งที่อยู่ในศูนย์อพยพและนอกศูนย์อพยพ ไม่สามารถอพยพกลับไปตั้งถิ่นฐานทำกินในประเทศพม่าได้อีกต่อไป
นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยอีกจำนวนหนึ่งในประเทศพม่า ก็อาจจะต้องหนีภัยจากการสร้างเขื่อน เนื่องจากที่ตั้งถิ่นฐานทำกินต้องกลายเป็นอ่างเก็บน้ำ และอาจจะอพยพเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นภาระที่หนักต่อทางราชการไทยในการดูแลผู้อพยพเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งปัจจุบัน ปัญหาด้านสุขภาพก็ถือว่าเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับผู้อพยพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อหลายชนิด ซึ่งอาจจะมีการแพร่ระบาดได้อีก เช่น โรคมาลาเรีย โรควัณโรค โรคเท้าช้าง โรคไข้กาฬหลังแอ่น กาฬโรค เป็นต้น
นอกจากนั้น จากรายงานเกี่ยวกับเขื่อนท่าซาง ขององค์กร Earth Rights International 2000-2002 ก็ได้ระบุว่า การสร้างเขื่อนท่าซางนั้น จะต้องมีการอพยพย้ายถิ่นฐานมากถึง 300,000 คน และจะทำให้สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่สร้างเขื่อนนั้นรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากโครงการเขื่อนท่าซาง จะกลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญของรัฐบาลพม่าในการปราบปรามและควบคุมชนกลุ่มน้อยในรัฐฉาน
เผยข้อมูลคนในพม่าถูกคุกคามจากเขื่อน กว่า 5 แสนคน
จากข้อมูลล่าสุดของ Thailand Burma Border Consortium ได้ออกเอกสารเรื่อง Internal displacement and protection in Eastern Burma ในเดือนตุลาคม 2548 ได้ชี้ให้เห็นภาพรวมของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นของปัญหาผู้อพยพพลัดถิ่นในพม่า เพิ่มขึ้นจาก 526,000 คนในปี 2547 เป็น 540,000 คนในปี 2548 เป็นตัวเลขที่ประมาณการได้เฉพาะในรัฐฉานตอนใต้, รัฐคะเรนนี, รัฐเปกูตะวันออก, รัฐกะเหรี่ยง, รัฐมอญ และรัฐตะนาวศรี ของประเทศพม่า
และปัจจัยคุกคามสำคัญประการหนึ่งที่มีต่อผู้คนกลุ่มนี้ คือ แผนการสร้างเขื่อนสาละวินทั้งหมด ซึ่งเรายังไม่อาจประเมินได้ว่า หากมีการสร้างเขื่อนสาละวินและเขื่อนตะนาวศรีแล้ว จะมีผู้อพยพจากประเทศพม่าถูกกดดันให้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยอีกเป็นจำนวนมากเท่าใด ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งร้ายแรงอีกครั้งหนึ่ง ที่รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับรัฐบาลพม่ากระทำต่อชนกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ ในนามของการพัฒนาประเทศ หลังจากที่เคยทำไว้ในโครงการท่อก๊าซไทย-พม่า
กก.สิทธิฯ ชี้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ไร้พรมแดน จี้รัฐคำนึงถึงหลักสิทธิ-การมีส่วนร่วมในโครงการ อย่างไรก็ตาม นาย
"นอกจากนั้น รัฐไทยยังมีพันธกรณีระหว่างประเทศ ทั้งในเรื่องปฏิญญาสากล อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และเชื้อชาติทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้น หน่วยงานรัฐจะต้องปฏิบัติตามนั้น เพราะเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ไร้พรมแดน ดังนั้น เราคงจะต้องย้อนกลับไปดูโครงการที่ผ่านมา เช่น โครงการท่อก๊าซไทย-พม่า ที่ไทยไปร่วมลงทุนด้วย ซึ่งกลับดูเหมือนว่าเราไปสนับสนุนนโยบายทหารพม่าให้ปราบปรามชนกลุ่มน้อย เพื่อเปิดทางให้ทหารพม่าเข้ามาสู้รบกับกองกำลังชนกลุ่มน้อย จนทำให้ประชาชนฝั่งพม่าต้องทะลักเข้ามาฝั่งไทยเป็นจำนวนมากหรือไม่"
ชี้เขื่อน คือตัวกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว
ในขณะที่ ดร.
"ถ้าถามว่าการสร้างเขื่อนสาละวินมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหวไหม ก็เสี่ยง เนื่องจากว่าบริเวณแถบนั้นมีแนวเลื่อนใหญ่ขยายเป็นแนวยาวเป็น
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านธรณีวิทยาท่านหนึ่งได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ตำแหน่งที่สร้างเขื่อนสาละวินทั้ง 4 เขื่อน อาจวางอยู่บนหรือใกล้รอยเลื่อนที่ยังคงมีพลัง เช่น รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน รอยเลื่อนแม่สะเรียง ดังนั้น การศึกษาต้องค้นให้ได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เคยเกิดแผ่นดินไหว มันเกิดขึ้นมานานแล้วกี่ปี ในขณะที่ในพื้นที่ที่มีร่องรอยของการเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ริกเตอร์ ซึ่งยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนว่า รอยเลื่อนที่ไหวขนาด 7 ริกเตอร์ เกิดขึ้นเมื่อกี่ปีมาแล้ว
......................................................................
ข้อมูลประกอบ เครือข่ายแม่น้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (searin), เอกสารประกอบการประชุม "คุณค่าสาละวิน"
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)