ประชาไท - 26 ม.ค.49 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ประชุมร่วมกับ กมธ.การต่างประเทศ วุฒิสภา เรื่องการยื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่รัฐบาลลงนามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศโดยเฉพาะสหรัฐที่จะสร้างความเสียหายมาก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
นพ.
2.ส่งฟ้องต่อศาลปกครอง โดยหาผู้ที่เสียหายจากการเจรจาเอฟทีเอที่เคยดำเนินการไปแล้วกับหลายประเทศ อาทิ จีน กับออสเตรเลีย ว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และมีความเสียหายในด้านใด แล้วส่งฟ้องร้องทันที 3.ฟ้องรัฐบาลไทยต่อศาลสหรัฐอเมริกา ในข้อหาละเมิดสนธิสัญญา Amity and economic Relation ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่ทำในปี 1966 จนทำให้ประชาชนในประเทศเสียผลประโยชน์ ซึ่งความคืบหน้าในการร่างคำฟ้องและการยื่นฟ้องร้องคงคืบหน้าในอีกไม่ช้า
ส่วนที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พรรคฝ่ายค้านได้ร่วมกันจัดงานเสวนา "FTA ไทย-อเมริกา ใครได้ใครเสีย" โดยมีนักการเมือง นักวิชาการ และผู้เกี่ยวข้องกับการเจรจาร่วมแลกเปลี่ยน
นาย
นาย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนทราบข่าวมาว่า หากไม่มีการบรรจุเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาในการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหรัฐ ทางสหรัฐจะทำการล้มโต๊ะการเจรจาเอฟทีเอกับไทย แทนที่รัฐบาลไทยจะนำเรื่องเข้าสู่รัฐสภาแล้วให้รัฐสภาอนุญาตว่าจะให้รับบาลไทยเจรจาเรื่องใดบ้างกลับไม่ทำ จึงทำให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไทยไม่มีอำนาจในการต่อรอง
พล.ต.สนั่น กล่าวว่า การทำข้อตกลงเปิดเสรีการค้ากับต่างประเทศที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบทุกอย่าง รัฐบาลไม่เคยนำเรื่องเข้าหารือกับผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีเลย จึงเสนอควรจะให้ภาคประชาชนและธุรกิจในสาขาที่เกี่ยวข้องได้หารือและนำเสนอข้อคิดเห็นต่อรัฐบาล ก่อนที่จะไปเจรจาทุกครั้ง
ด้านนายอุตตม กล่าวว่า ขอยืนยันว่าการเจรจาทวิภาคีทั้ง 2 ฝ่ายต่างมุ่งหวังว่าจะได้ประโยชน์ ไม่มีใครโง่กว่าใคร หรือมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์อยู่แต่เพียงฝ่ายเดียว สำหรับตัวเลขการขาดดุลการค้ากับประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอที่ดูเหมือนว่าเพิ่มขึ้นนั้น ขอชี้แจงว่าส่วนหนึ่งมาจากการนำเข้าทองคำที่เพิ่มสูงขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ระหว่างปี 2547-2548 รวมทั้งการนำเข้าน้ำมันที่ทราบกันดีว่าราคาแพง จึงส่งผลให้ตัวเลขการขาดดุลสูงขึ้นมาก สำหรับการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เรายึดผลประโยชน์และปากท้องของประชาชนมากกว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่เปลี่ยน และยืนยันว่าไม่มีใครสามารถมาครอบงำให้ทำแบบนั้นแบบนี้ได้ ต้องยึดถือประชาชนเป็นหลัก ต้องการมาฟังข้อมูลการระดมความคิดเพื่อนำไปประกอบการเจรจากับสหรัฐในรอบต่อไป เรื่องสิทธิบัตรยา และการคุ้มครองทางการรักษาไม่มีการนำไปต่อรองกันในเวทีนี้แน่นอน
หากมีอะไรผิดพลาดตนพร้อมรับผิดชอบ ตนก็อยากอยู่ในประเทศไทย อยากใช้วิถีชีวิตที่นี่ ไม่อยากเห็นลูกหลานต้องมารับภาระที่จะเกิดตามมากับสิ่งที่รัฐบาลทำ ขอยืนยันอีกครั้งว่า เรื่องสิทธิบัตรยาเรามีจุดยืนที่ชัดเจน อยู่เคียงข้างประชาชน เพียงแต่เปิดเผยให้ทราบรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ เพราะอยู่เหนืออำนาจที่ตนจะทำ
ส่วนตัวแทนนักวิชาการอีกหลายคนนั้นก็ได้อภิปรายย้ำถึงความเป็นห่วงในประเด็นการเจรจาเปิดเสรี โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิบัตรยา และการคุ้มครองทางด้านการรักษาพยาบาล พร้อมทั้งเสนอให้ชะลอเจรจาไปก่อน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)