พระราชดำรัสของสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลาห์ที่ 2
แห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 15 ธันวาคม 2548
ด้วยพระนามของ อัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตาปราณี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
ข้าพเจ้าขอขอบใจสำหรับคำกล่าวเมื่อครู่และขอรับเกียรติคุณนี้ในนามของชาวจอร์แดนทุกคน
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แหล่งกำเนิดอุดมการณ์ปัญญาและจริยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย
นับตั้งแต่อดีต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตระหนักว่าการให้ไม่ได้ตั้งอยู่เพียงบนความสำเร็จทางการศึกษาเท่านั้น หากแต่ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรมด้วย ดังที่เห็นได้จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิเมื่อเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งข้าพเจ้าและชาวจอร์แดนขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ครั้งนี้
พวกเราชื่นชมความกล้าหาญและการปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยมของคนไทย ข้าพเจ้าทราบว่าสมาชิกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครและให้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูจากเหตุการณ์ดังกล่าวรวมทั้งวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาทางป้องกันจากเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ซึ่งความพยายามครั้งนี้ของพวกท่านได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่แบ่งแยกศาสนาและชั้นวรรณะ นับว่าเป็นตัวอย่างที่โลกควรชื่นชมยิ่ง
วันนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงเรื่องความผูกพันทางจริยธรรมที่สืบทอดกันมา ที่สามารถช่วยให้พวกเราเผชิญอันตรายและภัยความแตกแยกของศตวรรษนี้พวกเราต่างเชื่อในสันติภาพ ความยุติธรรมและกรุณาปราณี
ในคัมภีร์อัล - กุรอาน พระเจ้าได้ตรัสความว่า
"และโปรดได้ทรงกำหนด (*1*) ความดีให้แก่พวกข้าพระองค์ในโลกนี้ และในปรโลกด้วยแท้จริงพวกข้าพระองค์สำนึกผิดและกลับมายังพระองค์แล้ว พระองค์ตรัสว่า การลงโทษของข้านั้น ข้าจะให้มันประสบแก่ผู้ที่ข้าประสงค์ (*2*) และการเอ็นดูเมตตาของข้านั้น กว้างขวางทั่วทุกสิ่งซึ่งข้าจะกำหนดมันให้แก่บรรดาผู้ที่ยำเกรง และชำระซะกาต และแก่บรรดาผู้ที่พวกเขาศรัทธาต่อบรรดาโองการของเรา" ( อัลกุรอาน 7:156)
(*1*) หมายถึงให้ทรงประทานตามที่ให้
(*2*) คือประสงค์จะลงโทษเนื่องจากพวกเขาดื้อดึงไม่ยอมสำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัว
ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอ-ความสันติสุขจนมีแด่ท่าน) ได้วจนะความว่า "ผู้ที่มีความเมตตาย่อมได้รับความเมตตาจากผู้เป็นเจ้า จงให้ความเมตตาแก่ผู้อยู่บนผืนโลก เพื่อผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ (พระผู้เป็นเจ้า) จะได้ให้ความเมตตาแก่เจ้า"
ศาสนาอิสลามรังเกียจความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นคนชาติใดหรือนับถือศาสนาใดก็ตาม ท่านศาสดามูฮัมมัด (ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน) ได้กล่าวกับพวกเราว่า "ขอสาบานด้วยผู้ซึ่งมีชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของท่าน (พระผู้เป็นเจ้า) แท้จริงคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเจ้าจะไม่ถือว่ามีศรัทธา จนกว่าเขาจะรักต่อพี่น้องของเขาเสมือนดังรักต่อตัวเขาเอง" และท่านได้กล่าวว่า "ไม่มีความเป็นอันตรายใดๆ ในอิสลาม และอิสลามไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งใด ๆ"
คำสอนเหล่านี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับความเกลียดชัง ซึ่งขับเคลื่อนพวกหัวรุนแรงของศาสนาใดก็ตาม อุดมคติและวิธีการของคนเหล่านี้ละเมิดกับหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เพราะไม่ว่าจะมีความไม่พอใจใดๆ ก็ตาม พระคัมภีร์อัล-กุรอาน บัญชาว่า : " ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดีเพื่ออัลลอฮ์ เป็นพยานด้วยความเที่ยงธรรมและจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า และพึงยำเกรง อัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์นั้น เป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดในสิ่งที่พวกเจ้ากระทำกัน" ( อัลกุอาน 5 : 8)
ผู้ใดก็ตามที่กล่าวว่า ศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนลัทธิของความรุนแรงนั้น ต้องอธิบายให้ชาวมุสลิมทั้งชาย หญิง และเด็ก ที่ได้ล้มตายเพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยกับอุดมคติที่ผิดเพี้ยนไปให้คนกลุ่มน้อยฟังด้วย เพราะตามความเป็นจริงแล้ว ชาวมุสลิมเป็นกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแรกของพวกหัวรุนแรงที่ต้องการกำจัดฝ่ายที่คัดค้านพวกตน
แต่ชาวมุสลิมทั่วโลกก็ยังคงขัดขืนพวกหัวรุนแรง หลังจากเหตุการณ์ระเบิดที่กรุงอัมมานเมื่อเดือนที่แล้ว ชาวจอร์แดนทั่วทุกหนแห่งต่างลุกขึ้นเพื่อต่อต้านภัยคุกคามและพิทักษ์ความเชื่อที่แท้จริงของอิสลาม ข้าพเจ้าทราบว่าชาวจอร์แดนร่วมกับชุมชนมุสลิมอีก 1.2 พันล้านคนทั่วโลกซึ่งต่างต่อต้านลัทธิใช้ความรุนแรง และใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความปรองดองและสันติสุข เสียงของพวกเขาคือเสียงของอิสลามดั้งเดิมที่แท้จริง
เพื่อให้เสียงแห่งอิสลามได้ยินไปทั่ว รัฐบาลจอร์แดนได้เผยแพร่แถลงการณ์อัมมาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.2004 แถลงการณ์สั้นๆ นี้ได้อธิบายต่อชาวมุสลิม และประชาคมโลกถึงธรรมชาติที่แท้จริงของอิสลาม อีกทั้งเรียกร้องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของมนุษยชาติ
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม จอร์แดนได้จัดการประชุม โดยมีนักวิชาการด้านมุสลิม 180 คน จาก 45 ประเทศ มาเข้าร่วม ซึ่งเป็นตัวแทนจาก 8 สำนักคิดของอิสลาม และได้รับการสนับสนุนจาก 20 สถาบันอิสลามชั้นนำระดับโลก
การประชุมส่งผลให้เกิดข้อตกลงร่วมเพื่อยุติการละเมิดหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม เหล่านักวิชาการให้การรับรองความถูกต้องของแนวคำสอนของศาสนาอิสลามทั้งแปด และแนวคำสอนของซูฟีและอัชอารี โดยได้มีถ้อยแถลงประณามแนวคำสอนที่มักจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่นิยมความรุนแรง ซึ่งประณามบุคคลอื่นว่าเป็นพวกนอกรีตเพื่อใช้เป็นข้ออ้างของการใช้ความรุนแรง
แนวคำสอนที่มักจะใส่ร้ายผู้อื่นอย่างรุนแรงระบุเงื่อนไขชัดเจนในการออกคำชี้ขาด (ฟัตวา) ชาวมุสลิมทุกแขนง ทุกที่สามารถยืนยันโดยไม่ต้องสงสัยว่าคำชี้ขาด (ฟัตวา) ที่เรียกร้องให้ประหัตประหารผู้บริสุทธิ์ จะเป็นมุสลิมหรือไม่ก็ตาม เป็นการละเมิดหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของอิสลาม
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ตามคำร้องขอของจอร์แดน ประเทศมุสลิมทุกประเทศได้รับรองหลักการนี้ ระหว่างการประชุมสุดยอดขององค์การการประชุมอิสลามที่นครเมกกะ
การยึดมั่นในหลักคำสอนของอิสลามเป็นอาวุธสำคัญในการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง โดยการเปิดโปงคำสัญญาที่หลอกลวงและอุดมการณ์ที่ว่างเปล่าของลัทธิหัวรุนแรง และชักนำเยาวชนมุสลิมไปสู่แก่นแท้ของความเชื่อ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเป็นหุ้นส่วนในการก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติอย่างสมบูรณ์
อาวุธสำคัญอีกประการหนึ่งในการต่อต้านลัทธิหัวรุนแรง คือ ความร่วมมือและการ
ปฏิสัมพันธ์ของประชาคมโลก เพราะลัทธิหัวรุนแรงไม่ได้มีเป้าหมายเพียงคนหรือทรัพย์สิน แต่มีเป้าหมายที่ความนึกคิด ไม่มีอะไรที่จะทำให้พวกเขาบรรลุเป้าประสงค์ได้สะดวกเท่าการสร้างความขัดแย้งทางอารยธรรมที่จะยุติความร่วมมือและความสมานฉันท์ของมนุษยชาติ วัตถุประสงค์ของพวกเขา คือการเพาะหว่านความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจและความแตกแยก พวกเขาไม่ได้แสวงหาการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนต่างลัทธิความเชื่อ แต่ต้องการให้ทวีความรุนแรงให้มากขึ้น
แต่ลัทธิหัวรุนแรงไม่ใช่ตัวแทนของศาสนาอิสลามหรือโลกขอชาวมุสลิม ดังจะเห็นได้จากการทำลายพระพุทธรูปบามิยันในอัฟกานิสถาน ชาวมุสลิมทุกหนแห่งต่างประณามการกระทำครั้งนี้ พวกเรารำลึกเสมอว่า เมื่อพันกว่าปีหรือมากกว่านี้ พระพุทธรูปเหล่านี้ตั้งอยู่ในดินแดนของชาวมุสลิม ซึ่งไม่เพียงเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า แต่เป็นพันธสัญญาของความเปิดกว้างของศาสนาอิสลามดั้งเดิม การทำลายล้างครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์อีกครั้งว่า ลัทธิหัวรุนแรงละเมิดทุกหลักคำสอนทั้งของมุสลิมและศาสนาอื่น
ในความเป็นจริง ลัทธิหัวรุนแรงถูกต่อต้านจากชาวมุสลิม ทั้งในจอร์แดน ในประเทศไทยและที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพราะชาวมุสลิมได้รับการสั่งสอนให้แสวงหาสันติภาพในทุกทาง พระคัมภีร์อัล-กุรอาน บัญญัติไว้ความว่า
"และหากพวกเขาโอนอ่อนมาเพื่อการประนีประนอมแล้ว เจ้า (*1*) ก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้น (*2*) ด้วย และจงมอบหมายแต่อัลลอฮฺเถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้"
(*1*) หมายถึงท่านศาสดามุฮัมมัด
(*2*) คือเพื่อการประนีประนอม
ศาสนาอิสลามที่แท้จริง จะช่วยให้เราต่อสู้กับวิกฤติการณ์ของศตวรรษนี้ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างคนต่างความเชื่อ ความขัดแย้งเหล่านี้ไม่สามารถเยียวยาด้วยการเน้นย้ำซึ่งความแตกต่าง ต่อต้านหรือปราบปรามชาวมุสลิม ในประเทศไทยชาวมุสลิมมีประวัติอันยาวนานและเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมและสังคมไทย พวกเขาสมควรได้รับสิทธิและได้รับเกียรติเฉกเช่นเดียวกับคนไทยทุกคน
พวกเราทุกคนไม่ควรยอมให้พวกหัวรุนแรงกลุ่มน้อยมาแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน ชาวไทยที่ไม่ใช่มุสลิมควรรับทราบว่า ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ เป็นพลเมืองดีและประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ในขณะเดียวกันก็ขอให้ชาวไทยมุสลิมทุกคนมั่นใจว่าประเทศไทยตระหนักและเห็นคุณค่าของพวกท่านทุกคนที่เป็นพลเมืองดีและมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
เพื่อนทั้งหลาย
การตระหนักถึงความคล้ายคลึงกัน โดยตั้งอยู่บนความพื้นฐานความเชื่อมั่นในสันติภาพและความยุติธรรม จะนำมาซึ่งความสมานฉันท์ คุณค่าเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและวางรากฐานให้แก่คนต่างความเชื่อที่จะสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยความมั่นคงโอกาสและสันติสุขร่วมกัน
ดังนั้น ขอให้พวกเราก้าวเข้าไปข้างหน้าร่วมกัน เพื่อสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนของเรา ร่วมขยายความเข้าใจและต่อต้านความไม่ยอมรับผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมและด้วยการเป็นหุ้นส่วนด้วยกัน จะนำมาซึ่งยุคใหม่แห่งความหวัง
ขอขอบใจท่านทั้งหลาย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)