Skip to main content
sharethis

โรคจิตเภท Schizophrenia


โรคจิตเภทเป็นโรคทางจิตเรื้อรังซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ ความคิด[thinking} ความรู้สึก{feeling} และพฤติกรรม[behavior]


สาเหตุ


เป็นโรคทางพันธุกรรมทำให้มีการพัฒนาของระบบประสาทผิดปกติ เมื่อมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมก็เกิดโรคนี้ ได้แก่


·         การที่เกิดขาอออกซิเจนในระหว่างการคลอด


·         มารดาเป็นไข้ในตั้งครรภ์ไตรมาสที่2


·         มารดาเป็นไข้หวัดใหญ่ในขณะตั้งครรภ์


อาการแสดง


อาการแสดงจะแบ่งเป็นสองระยะได้แก่


1.       อาการนำก่อนป่วย[prodome] อาการนำก่อนป่วยในผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาการชัด บางคนอาการไม่ชัด อาการนำมักจะเกิดขณะวัยเรียน อาการนำอาจจะมีอาการเป็นเดือนก่อนเกิดปรากฏอาการทางจิต


·         แยกตัวเล่น ไม่ยุ่งกับใคร


·         แปลกประหลาด ไม่สามารถปฏิบัติตนให้สมบทบาทได้ เช่นบทบาทของการเป็นเพื่อน ลูก


·         ไม่ดูแลตัวเอง เช่นไม่อาบน้ำหรือหวีผม


·         บุคลิกเปลี่ยนจนเพื่อนสังเกตเห็น


·         มีความคิดแปลกๆ


·         ห่วงใยรูปร่างหน้าตา ชอบดูกระจก กลัวผิดปกติ


·         มีพฤติกรรมต่อต้านสังคม


2.       อาการทางจิต ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันได้มาก แม้แต่ผู้ป่วยคนเดียวกัน ต่างเวลาอาการของเขาก็อาจจะแตกต่างกันอาการที่ทำให้ผู้ป่วยพบแพทย์


I.                        อาการทางจิต ผู้ป่วยจะมีอาการ


·         ประสาทหลอน เช่น หูแว่ว ตาฝาด


·         ระแวง กลัวคนทำร้าย คิดว่ามีคนสะกดรอยตามปองร้าย แปลความหมายเหตุการณ์รอบตัวผิดจากความเป็นจริง เช่นเพื่อนลูปหน้าแปลว่าหน้าด้านไม่รู้จักอาย


·         อาละวาด ทำลายข้าวของ


·         พยายามฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายผู้อื่น


      II.            ความสามารถในการดำเนินชีวิตเสื่อมลง


·         การเรียนเลวลง หรือเรียนไม่ได้


·         การงานบกพร่อง ทำงานไม่ได้เท่าที่เคยทำ เกียจคร้าน


·         ความสัมพันธ์กับบุคลอื่นไม่ราบรื่น เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ระแวง คิดแปลเจตนาของผู้อื่นในทางลบ หงุดหงิด


·         ไม่ใส่ใจดูแลตัวเอง ไม่อาบน้ำ ไม่แต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่หวีผม ห้องนอนสกปรก


    III.            ผู้ป่วยบางรายมาหลังจาก


·         ดื่มเหล้ามาก


·         ใช้สารเสพติด


·         การป่วยทางกาย


ลักษณะทั่วไป


ผู้ป่วยจะมีกริยาท่าทางประหลาด แต่งตัวไม่เรียบร้อย สกปรก มีกลิ่นเหมือนไม่อาบน้ำแปรงฟัน การเคลื่อนไหว บางคนหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวน้อย หรือไม่อยู่นิ่ง ลุกลน


พฤติกรรมทางสังคม เก็บตัว แยกตัว หรือวุ่นวายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควร


การพูดมีหลายแบบ พูดจาได้ความดี พูดไม่รู้เรื่อง พูดน้อย หรือไม่พูดเลย


อารมณ์ บางคนสีหน้าราบเรียบ ไม่แสดงอารมณ์อะไร บางรายสีหน้าไม่สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด และบางรายสีหน้าปกติ


ความคิด Though


ผู้ป่วยบางรายไม่มีความคิดออกมาเลย บางรายมีความคิดหลั่งไหลออกมารวดเร็วและบางคนคิดเหมือนคนปกติ ความคิดมักจะไม่ต่อเนื่อง เปลี่ยนเรื่องก่อนที่เรื่องกำลังกล่าวจะจบ มีอาการหลงผิด เช่นหวาดระแวงว่าคนจะทำร้าย หูแว่ว ตาฝาด และประสาทหลอน และมักจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารทั้งการรับและการส่ง เช่นโกรธอย่างรุนแรงโดยไม่มีเหตุผลหรือเฉยไม่ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย


การดำเนินของโรค


ผู้ป่วยจะเริ่มด้วยอาการนำ แล้วตามมาด้วยอาการของโรคอาจจะเกิดแบบเฉียบพลัน หรือค่อยเป็นค่อยไป อาการสงบลงสลับกับกำเริบขึ้นอีกเป็นครั้งคราว ผ่านไปหลายปีอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่เช่นเดียวกับอาการนำ


การวินิจฉัย


การวินิจฉัยโดยอาการเป็นสำคัญ ผู้ป่วยมีลักษณะดังต่อไปนี้


·         มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ


·         ป่วยเรื้อรัง


·         ความสามารถในการดำรงชีวิตเสื่อมถอย เช่น ทำงานไม่ได้ พึ่งตนเองไม่ได้


·         เมื่อป่วยแล้วไม่หายเป็นปกติเหมือนก่อนป่วย


ต้องวินิจฉัยแยกโรคต่อไปนี้


·         Bipolar disorder โรคนี้เวลาหายจะเหมือนคนปกติ การป่วยบางครั้งเป็น


·         โรคจิตเพราะพิษสุรา หรือสารเสพติด เช่น ยาบ้า กัญชา ยาลดความอ้วน


·         โรคทางกาย เช่น SLE โรคลมชัก โรคเนื้องอกในสมอง


การรักษา ทำได้ 3 ทางด้วยกัน


1.       รักษาอาการให้หาย


เป็นการใช้ยาในการรักษายาที่ใช้ได้แก่


·         Haloperidol


·         Resperidone


·         Clozapine


2.       ป้องกันมิให้กลับเป็นซ้ำ หากกินยาสม่ำเสมอการกำเริบจะน้อย สาเหตุที่กำเริบคือการถูกตำหนิติเตียนเป็นประจำ การป้องกันไม่ให้โรคกำเริบคือ


·         กินยาอย่างต่อเนื่องตามที่แพทย์สั่ง


·         อย่าบ่นว่า ตำหนิ วิจารณ์ซ้ำซาก


สิ่งที่สำคัญในการรักษาคือผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีแนวโน้มในการฆ่าตัวเองสูง ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวเองสูงมีลักษณะดังต่อไปนี้


·         ญาติและผู้ป่วยคาดในความสำเร็จสูง


·         ปรับตัวรับสภาพโรคจิตไม่ได้


·         ช่วงเวลาที่ต้องระวังในการฆ่าตัวเองคือ ขณะที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาล ระยะ 6 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล มีการสูญเสีย เช่นหย่า ตกงาน เปลี่ยนแพทย์ผู้รักษา


·         อาการดีขึ้นหลังจากป่วยหนักและรู้ว่าตัวเองเป็นโรคจิต


สัญญาณบ่งบอกว่าจะฆ่าตัวตาย


·         ผู้ป่วยมีความคิดฆ่าตัวเอง


·         มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ


·         มีแรงกดดันผู้ป่วยมากได้แก่ ขาดที่พึ่ง ตกงาน ญาติโกรธ ถูกไล่ออกจากบ้าน


·         อาการกำเริบ หูแว่ว หวาดกลัว รู้สึกมีคนปองร้าย


·         หมอโกรธ


3.       ฟื้นฟูจิตใจและฝึกอาชีพ เนื่องจากผู้ป่วยพลาดการเล่าเรียน และการเรียนรู้ชีวิต การต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค ทางครอบครัวและผู้รักษาต้องประคับประคองให้เขาเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา และการฝึกอาชีพ


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net