Skip to main content
sharethis

ประชุมอาร์บีซีไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 8 สองประเทศมีมติเพิ่มความเข้มงวดด้านชายแดน เผยที่ผ่านมามีผู้ใช้หนังสือเดินทางปลอมผ่านเข้าออกมาก ระบุมุสลิมกัมพูชาเข้าไทยอ้างมาเรียนปอเนาะ ขณะที่ด้านเกษตรจะให้มีการออกใบรับรองผลิตภัณฑ์ป้องกันแพร่ไข้หวัดนก

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2548 ที่โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จ.เชียงใหม่ พล.ท.ไพศาล กตัญญู แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะประธานกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ด้านกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 8 โดยมีคณะกรรมการฝ่ายกัมพูชานำโดยพล.ท.บุน เชง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 ในฐานะประธานกรรมการฝ่ายกัมพูชา

พล.ท.ไพศาล กล่าวว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคถือว่าเป็นกลไกหลักสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือ ความเข้าใจและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนของทั้ง 2 ฝ่าย การค้าชายแดนและโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งโดยปกติจะมีการประชุมปีละ 2 ครั้ง ผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ

ความก้าวหน้าของความร่วมมือที่สำคัญคือ ความมั่นคงเรื่องเขตแดนทางบก ซึ่งปี 2548 จะมีการสำรวจร่วมกัน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะให้เพิ่มเนื้อหาในการเน้นย้ำการประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติและประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดนโดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ รับรู้เรื่องเขตแดนทางบกตามข้อตกลงและปฏิบัติตามอย่างจริงจัง อย่าให้มีการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ

ส่วนปัญหายาเสพติดทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมกันทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้รับทราบและตระหนักเกี่ยวกับโทษและพิษภัยของยาเสพติดผ่านระบบการศึกษาและระบบสาธารณสุขและจัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานระดับพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ส่วนปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้ายซึ่งที่ผ่านมามีผู้ใช้หนังสือเดินทางของประเทศที่สามซึ่งเป็นหนังสือเดินทางปลอมผ่านเข้าออกประเทศไทยและกัมพูชาเพื่อก่อการร้ายข้ามชาติและอาชญากรรมนั้น ที่ประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเนื้อหาอีก 3 เรื่องคือ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบหนังสือเดินทาง เพราะอาจมีอาชญากรใช้ช่องทางในการข้ามแดนเข้ามาก่ออาชญากรรมและนำไปสู่การก่อการร้าย ทั้ง 2 ฝ่ายจะช่วยกันติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชนในพื้นที่ชายแดน เพราะที่ผ่านมามีชาวมุสลิมในกัมพูชาเข้ามาพื้นที่ภาคใต้ของไทยเป็นจำนวนมากโดยให้เหตุผลว่าไปเรียนที่ปอเนาะโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ฝ่ายจะช่วยกันตรวจสอบการค้าอาวุธสงคราม ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกับการนำเงินจากการค้ายาเสพติดมาใช้เพื่อก่ออาชญากรรมหรือก่อการร้าย ส่วนการค้าวัตถุโบราณก็จะช่วยกันตรวจสอบการค้าโบราณวัตถุข้ามชาติโดยเฉพาะวัตถุประจำชาติเป็นพิเศษและให้ส่งกลับคืนประเทศตามข้อตกลงของรัฐบาลสองฝ่ายที่ได้ลงนามเมื่อ 14 มิ.ย.2543

นอกจากนี้ยังมีการประสานความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งไทยจะดำเนินการปลูกป่าชุมชนตามแนวชายแดนเป็นโครงการนำร่องและกัมพูชาจะร่วมทำกิจกรรมในฝั่งตนเอง ไทยจะให้การสนับสนุนการให้ความรู้ทางการแพทย์และฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพเจ้าหน้าที่กัมพูชาและได้มีการกำหนดแนวทางเรื่องการใช้แรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายร่วมกัน โดยเฉพาะการพิสูจน์สัญชาติเฉพาะกลุ่มที่จดทะเบียนแรงงาน ส่วนการค้าชายแดนโดยเฉพาะตลาดโรงเกลือซึ่งเป็นศูนย์กลางติดต่อซื้อขายมีปัญหาอุปสรรคคือด่านคลองลึก-ปอยเปตมีลักษณะเป็นช่องทางเดียวที่เปิดให้ทั้งคนและสินค้าผ่านแต่มีพื้นที่จำกัดในการคมนาคม ที่ประชุมจึงสนับสนุนให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องแสวงหามาตรการเพื่อจัดระเบียบการขนส่งสินค้าที่จุดผ่านแดน เช่น ปรับเปลี่ยนเวลาเข้า-ออกของรถยนต์บรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อแก้ปัญหาความแออัดในการสัญจร เป็นต้น

ทางด้านการเกษตร ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบที่จะเข้มงวดตรวจสอบสัตว์ปีก ไข่และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ปีก โดยมีการออกหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์และให้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน หากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในพื้นที่ให้ปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเคร่งครัด.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net