Skip to main content
sharethis

โรงพยาบาลกะพ้อ จังหวัดปัตตานี เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 10 เตียง ตั้งอยู่ตอนล่างของจังหวัดปัตตานีติดกับจังหวัดยะลาและนราธิวาส ดูแลประชากร 3 ตำบล 27 หมู่บ้าน ประชากรจำนวน 15,000 คน เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม เป็นอำเภอขนาดเล็กที่ผู้คนมีวิถีชีวิตที่พึ่งพาอำเภอสายบุรีที่อยู่ห่างออกไปเพียง 15 กิโลเมตร ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำสวนยาง มีสถานีอนามัยในพื้นที่จำนวน 6 แห่ง ณ.เดือนกุมภาพันธ์ 2548 โรงพยาบาลกะพ้อมีบุคลากรทั้งสิ้น 60 คน เป็นแพทย์ 2 คน ทันตแพทย์ 1 คน เภสัชกร 2 คน และพยาบาล 28 คน

นพ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ ได้นำเสนอบทเรียนที่เป็นประสบการณ์ตรงหลายกรณีที่น่าสนใจของโรงพยาบาลกะพ้อต่อกรณีความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่

การออกไปชันสูตรศพ กรณีมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ โดยตำรวจยืนยันว่าต้องการให้หมอต้องออกไปชันสูตรศพ ซึ่งเมื่อถึงที่เกิดเหตุ คุณหมอเดชาซึ่งไปชันสูตรศพเองพบว่า ไม่มีใครตามเข้าไปเลย มีศพ 1 ศพที่เลือดแห้งแล้ว ก็เลยเรียกให้ทหาร ตำรวจมาช่วย ณ.เวลานั้นได้เริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอภัย รุ่งขึ้นปรากฏว่าเกิดเหตุระเบิดใกล้ที่ชันสูตรศพนั้นมาก เชื่อว่าเกิดจากการวางระเบิดเอาไว้ใกล้ๆ เพื่อทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปชันสูตรศพ

อีกเหตุการณ์คือ กรณีที่ตำรวจให้ไปชันสูตรศพอีก โดยแจ้งว่าเป็นกรณีพิเศษ มีปัญหาแน่หากแพทย์ไม่ออกไปเพราะเป็นกรณีที่ชาวบ้านข้องใจ เมื่อออกไปดู ที่ถนนคนแน่นมาก ไม่สามารถเอารถเข้าไปได้ จนต้องเดินเข้าไป พอไปถึงตำรวจไม่สามารถกันชาวบ้านได้ ชาวบ้านตีโอบล้อมเข้ามา ในขณะนั้นรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยมาก จึงขอให้ทางตำรวจเคลื่อนย้ายศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาล

ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าทางกระทรวงจะมีคำแนะนำว่า หากไม่ปลอดภัยไม่ต้องไปชันสูตรศพ แต่ในสถานการณ์จริงก็ยากที่จะปฏิเสธได้ ดังนั้นการเตรียมความพร้อม ไหวพริบและการประสานงานกับทางตำรวจจึงมีความสำคัญมากเพื่อลดโอกาสของความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด

ในเรื่องของการวางระเบิดในโรงพยาบาล ตอนเช้ามืดของวันหนึ่ง ได้มีวัยรุ่นเข้ามาในโรงพยาบาล เข้ามาทางประตู ยามได้เห็น วัยรุ่นวิ่งออกไป จากนั้นมียามบอกว่ามีถุงวางไว้ที่ป้อมยามวางไว้นาน 2 ชั่วโมงแล้ว นพ.เดชาในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาลและยามจึงเดินเข้าไปดู ยามบอกว่าในถุงมีสายไฟ ดูแปลก ผิดปกติ จึงตามตำรวจมาดู ตำรวจนึกง่ายๆว่าน่าจะเป็นการขู่ จึงเขี่ยๆดู พบว่าเป็นของจริง และได้ไปหายางรถมาล้อมกันไว้ หน่วยกู้ระเบิดจึงนำออกไปและทำลาย สรุปว่าเป็นการข่มขู่ทำให้เข้าใจว่าเป็นระเบิด
แต่จากบทเรียนในครั้งนั้น ทั้งฝ่ายโรงพยาบาลและตำรวจต่างก็ประมาทมากที่เข้าไปเขี่ยๆดู เพราะหากเป็นระเบิดจริงแล้วอาจระเบิดตูมขึ้นมาก็ได้ ซึ่งจะเกิดความสูญเสียอย่างมาก ดังนั้นเมื่อพบวัตถุต้องสงสัย ควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน ให้ผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการเก็บกู้

กรณีการข่มขู่ทางโทรศัพท์ โดยในคืนวันศุกร์วันหนึ่ง ได้มีโทรศัพท์ขู่มาว่าคืนนี้ หมอกับพยาบาลตายแน่ ทางโรงพยาบาลจึงได้ติดต่อกับทหารตำรวจเจ้าหน้าที่เพื่อขอกำลังคุ้มกัน และเรียกระดมเจ้าหน้าที่ทุกคนในบ้านพักมานอนรวมกันที่บนตึก มีทหารตำรวจคุ้มกันเป็นจุด ๆ แต่ก็ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ต่อมาคืนวันเสาร์ ก็มีการโทรขู่อีกว่าจะทำจริง หมอกับยามตายแน่ ต่อมาการขู่ครั้งที่สามนั้นตำรวจเป็นคนรับสายเอง แต่ไม่มีใครพูด และมีข่าวปล่อยลือออกมาว่า กลุ่มโจรจะมีการบุกยึดโรงพักด้วย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกคนจึงถูกระดมมานอนรวมกันบนโรงพยาบาล พยายามเลือกหาห้องที่ปลอดภัยมีหน้าต่างน้อยที่สุดเพื่อให้ปลอดภัยจากระสุนมากที่สุด แต่ก็แทบไม่มีห้องเช่นว่านั้น ได้มีการติดต่อตำรวจ ทหาร ให้มาช่วยดูแล เขาเองก็ส่งกำลังมาได้ไม่กี่คน เพราะกำลังที่จะดูแลโรงพักและอำเภอก็ยังไม่พอ ต้องเกลี่ยกำลังคนกัน และตำรวจเองก็กลัวว่าจะเป็นการขู่ลวงที่โรงพยาบาลเพื่อให้กำลังที่โรงพักมีน้อยจะได้โจมตีโรงพักได้ง่ายขึ้น ในวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ก็ทำให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ในวันนั้น แพทย์พยาบาลก็ยังได้บอกกล่าวสถานการณ์ให้ผู้ป่วยและญาติทราบ คนไข้คนใดที่พอไหวก็ให้กลับบ้านได้ ที่หนักยังควรต้องนอนโรงพยาบาลก็ส่งต่อไปนอนโรงพยาบาลสายบุรี เพื่อความปลอดภัย
ต่อมาทางโรงพยาบาลได้ติดต่อกับองค์การโทรศัพท์ เรื่องขอหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถแสดงหมายเลขโทรเข้าได้ (โชว์เบอร์) เพื่อให้ทราบหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามามาข่มขู่ แต่องค์การโทรศัพท์จัดหาให้ไม่ได้ จึงได้นำหมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลมาต่อกับโทรศัพท์มือถือทำให้โชว์เบอร์ได้

จากนั้นก็มีโทรศัพท์ขู่เข้ามาอีก เป็นหมายเลขตู้สาธารณะของโรงพยาบาลบ้าง มือถือบ้างก็แจ้งทางตำรวจให้ไปจัดการได้ตรงเป้ามากขึ้น

หลังจากนั้นก็มีการคุยทบทวนกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลว่า ที่ผ่านมามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นที่ โรงพยาบาลบ้าง หรือมีเหตุการณ์ใดที่ทำให้คนในพื้นที่ไม่พอใจหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร ความสัมพันธ์กับชุม
ชนยังดีมาก เมื่อได้มีการพูดคุยกันไป ก็พบว่ามีเหตุการณ์หนึ่งแปลกๆกล่าวคือ มีคนไข้วัยรุ่นคนหนึ่งกินยาเข้าไปเป็นจำนวนมาก เพื่อนๆ ซึ่งเป็นวัยรุ่นอีก 4-5 คน ตามมาส่งผู้ป่วย ระหว่างให้การดูแลที่ห้องฉุกเฉิน หมอก็ได้บอกให้เพื่อนนั้นออกไปรอข้างนอก ซึ่งเขาก็ทำตาม แต่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเหมือนเดินสำรวจโรงพยาบาล ไปที่ยามบ้าง ดูบอร์ดบุคลากรบ้าง เป็นต้น

การข่มขู่เจ้าหน้าที่ ได้มีการเขียนชื่อยามเพื่อเป็นการข่มขู่ที่หน้าตู้ไปรษณีย์ ว่าตายแน่ ยามคนนั้นจึงได้ตัดสินใจลาออก เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องหาคนมาเป็นยามแทนซึ่งหายากมาก ครั้นจะไปขอกำลังจาก อส. หรือตำรวจทหาร ซึ่งทางเขาก็หนักมากกันอยู่แล้ว ไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงได้ระงับการลาออกของยาม และได้ให้เขาไปพักผ่อนก่อน 1-2 สัปดาห์ และให้มาประจำยามบนตึกแทนป้อมยาม หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป

อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวของโจรก่อการร้ายสูงมาก กลุ่มโจรได้บุกยึดโรงพักและที่ว่าการอำเภอมาแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพื่อประกาศศักดาว่า สามารถยึดศูนย์กลางอำนาจรัฐในอำเภอได้ แต่อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลกะพ้อมีจุดแข็งที่สำคัญยิ่งอย่างน้อย 3 ประการที่ทำให้สถานการณ์ความไม่สงบนั้นมีผลกระทบต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่มากเท่ากับความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ

ที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับชุมชน แม้เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก แต่ก็ได้รับความศรัทธาจากชุมชน ทำให้ไม่มีเงื่อนไขสำหรับฝ่ายตรงข้ามในการโจมตีการทำงานเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลกะพ้อส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ทำให้แม้จะมีความหวั่นไหว แต่ก็มีการขอย้ายออกก็ไม่มากนัก และอยู่ในวิสัยที่พูดคุยขอร้องให้ร่วมแรงทำงานกันต่อไปได้

ผู้นำองค์กรทั้งในระดับโรงพยาบาลคือตัวผู้อำนวยการโรงพยาบาล และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด มีความเข้าใจในบทบาทในฐานะผู้นำในสภาวะวิกฤต ที่ต้องนิ่ง ไม่คิดสละเรือเอาตัวรอด มีความเสียสละ ปฏิบัติงานด้วยความตั้งใจ ทำให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของทุกคนในองค์กรให้สามารถประคับประคองกันเองในช่วงสถานการณ์วิกฤตไปได้

นพ.เดชา แซ่หลี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกะพ้อ/color]

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net