Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 4 ก.ย.50 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 10.00 น.มีประชาชนและเพื่อนมิตรประมาณ 20 คนเข้าเยี่ยม สมบัติ บุญงามอนงค์ ซึ่งถูกฝากขังเป็นวันที่ 4 ในคดีหมิ่นประมาทที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน แจ้งความกล่าวโทษ เนื่องจากจัดกิจกรรมปาเป้าด้วยการ์ตูนล้อเลียนเขาทั้ง 2 ที่สนามหลวง โดยในวันนี้มีนายจรัล ดิษฐาอภิชัย กรรมการสิทธิมนุษยชน เข้าเยี่ยมด้วย  


 


สมบัติกล่าวว่า เขายังคงมีกำลังใจที่ดีในเรือนจำ แม้จะมีปัญหาสุขภาพบ้าง เนื่องจากการนอนรวมกันอย่างหนาแน่น และยืนยันจะอยู่จนหมดผลัดแรกของการฝากขังคือวันที่ 11 ก.ย. แล้วจะตัดสินใจอีกทีว่าจะยื่นประกันตัวหรือไม่ โดยเขาระบุว่าเงื่อนไขเบื้องต้นที่เขาจะยอมออกจากเรือนจำคือ 1.มีการยกเลิกกฏอัยการศึก 2.พล.อ.สพรั่ง ถอนฟ้อง และสุดท้ายคือเขาไม่สามารถอดทนสภาพภายในเรือนจำต่อไปได้ ขอยื่นประกันตัวเอง


 


 นอกจากนี้สมบัติพยายามสอบถามจากผู้เข้าเยี่ยมว่า กระแสข่าวภายนอกเกี่ยวกับการยกเลิกกฎอัยการศึกเป็นเช่นใดบ้าง โดยระบุว่า อยากให้มีการพูดคุย อภิปราย ถกเถียง ตลอดจนเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในบรรยากาศของสังคม โดยไม่จำเป็นต้องมุ่งมายังเรื่องการจับกุมเขาก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม สมบัติยังยืนยันใช้ตนเองเป็นเงื่อนไขหนึ่งในการเรียกร้องให้ยกเลิกกฎอัยการศึกด้วยเช่นกัน


 


ส่วนข่าวที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินออกมาระบุว่า จะไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกเนื่องจากไม่เดือดร้อนคนดีนั้น สมบัติกล่าวว่า การบอกว่ากฎอัยการศึกไม่กระทบกับคนดีนั้น เขาขอบอกว่ามีแต่ผู้ปกครองที่เลวเท่านั้นที่ใช้กฎอัยการศึก และกลัวว่าประชาชนจะมีสิทธิ เสรีภาพ


 


วันเดียวกัน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส) ออกแถลงการณ์เรื่องการคุมขังนายสมบัติ บุญงามอนงค์ โดยระบุว่า แม้นายสมบัติจะมีสิทธิในการประกันตนเอง ด้วยหลักทรัพย์ประมาณ 100,000 ถึง 200,000 บาท แต่นายสมบัติได้ปฏิเสธที่จะประกันตนเองออกมา โดยคาดหวังให้กรณีนี้ส่งผลทางการเมืองกดดัน คมช. และรัฐบาลให้ยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ 35 จังหวัดโดยทันที เนื่องเพราะเป็นการขัดต่อสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เฉกเช่นเดียวกับคำกล่าวอ้างของผู้ฟ้องร้องคดีที่กล่าวว่าการแสดงออกของนายสมบัตินั้นเป็นการหมิ่นประมาทที่ส่งผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของ คมช.


"คดีนี้จึงสะท้อนและตอกย้ำให้ประชาชนต้องตระหนักว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ยึดกุมอำนาจรัฐ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นย่อมใช้อำนาจทางกฎหมายดำเนินคดี เพื่อปิดปากการแสดงความคิดเห็นและปิดกั้นการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน การใช้กฎหมายหมิ่นประมาทโดยผู้มีอำนาจรัฐ ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะ (Public figures) ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อประชาชนหรือหรือสื่อมวลชนนั้น เข้าข่ายการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งถือเป็นสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองตามกติกาสากลระหว่างประเทศ อีกทั้งยังขัดต่อหลักการแห่งสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ"

แถลงการณ์ระบุว่า การแสดงออกในรูปแบบของการพูด เขียน ร้องเพลง ภาพวาด สร้างงานศิลปะ หรือการแสดงเชิงสัญลักษณ์ใด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นทางการเมืองของพลเมืองต่อผู้ปกครอง หรือผู้มีอำนาจรัฐ
ย่อมถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงกระทำได้

พร้อมกันนี้ คปส. ได้แสดงจุดยืนดังต่อไปนี้ 1.คปส. เคารพเจตจำนงในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ และขอเชิญชวนให้สาธารณชนร่วมส่งกำลังใจให้จำเลยในกรณีนี้ ด้วยการส่งจดหมาย  ไปรษณียบัตร หรือไปเยี่ยมด้วยตนเองที่ 33 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900


2.ขอให้ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ถอนฟ้องคดีดังกล่าว เนื่องเพราะเป็นการแสดงออกทางการเมืองของพลเมืองต่อบุคคลทางการเมืองในวิถีประชาธิปไตย 3.คปส. ขอเรียกร้องให้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาล ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกโดยทันที

4.คปส.เห็นว่ากฎหมายหมิ่นประมาทและกระบวนการใช้กฎหมายมีปัญหา เพราะก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน จึงจำเป็นที่สังคมไทยต้องให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการปรับปรุง
ทบทวนกฎหมายหมิ่นประมาท โดยเฉพาะการปรับปรุงความผิดในทางอาญา (Decriminalize
Defamation)

5.คปส. ขอเรียกร้องให้ สื่อมวลชน นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และ องค์กรสิทธิมนุษยชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ติดตามประเด็นเรื่องการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของพลเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามอำนาจรัฐอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองของไทยอยู่ในภาวะที่น่ากังวลยิ่ง



ขณะที่เมื่อวาน (3 ก.ย.) เป็นวันแรกที่เปิดให้เยี่ยมนายสมบัติที่เรือนจำ มีประชาชนมาเข้าเยี่ยมกว่า 50 คน โดย สุภิญญา กลางรณงค์ เลขาธิการ คปส.กล่าวว่า เชื่อว่าการคุมขังนายสมบัติ จะนำไปสู่สถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียด เพราะจะมีผลต่อบรรยากาศการแสดงความคิดเห็นและการใช้เสรีภาพทางการเมืองของประชาชน


 


ก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในแกนนำ นปช.กล่าวว่า อยากให้มีการขยายเวลาเยี่ยมให้มากกว่าวันละ 15 นาที เพราะหากมีประชาชนหลายสิบคนต้องการไปเยี่ยมผู้ถูกคุกขัง ก็ทำให้การเข้าเยี่ยมเป็นไปอย่างลำบากมาก ขณะที่ประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ แกนนำ นปช.อีกคนระบุว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยได้รับการกระทำเช่นนี้จากผู้มีอำนาจ


 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net