ประชาไท - 17 พ.ค. 50 เมื่อวันที่ 16 พ.ค. นายสมเกียรติ อ่อนวิมล สนช .กล่าวถึงกรณีการแปลงทีไอทีวี เป็นโทรทัศน์สาธารณะ ว่าส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยหากจะนำภาษีสรรพสามิต มาบำรุงทีวีสาธารณะ เพราะจะกลายเป็นว่า เราอยู่ได้ด้วยเหล้าด้วยบุหรี่  และจะกลายเป็นหนี้บุญคุณเหล้ากับบุหรี่ไป อับอายกันไปทั้งสถานี โทรทัศน์สาธารณะควรอยู่ด้วยการหักภาษีเงินได้ หรือผ่านกระบวนการงบประมาณอื่นเสียก่อน จะจัดงบประมาณเท่าไหร่ก็ว่ากันไป  เพราะไม่อย่างนั้นเราก็ต้องรณรงค์ให้คนกินเหล้าสูบบุหรี่เยอะๆ  เพื่อที่จะเอางบประมาณมาบริหาร โดยส่วนตัวแล้ว ตนไม่เห็นด้วยกับการนำภาษีบาปเช่น เหล้า บุหรี่ หวยฯลฯมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์สาธารณะ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรือทุนการศึกษากับนักเรียน เพราะจะทำให้เรารู้สึกเป็นบุญเป็นคุณกับสิ่งเหล่านี้ หากให้มีคนขอให้ตนไปบริหาร สถานีที่มีภาษีเหล่านี้สนับสนุน ตนก็จะไม่ทำ

ผู้สื่อข่าวถามว่า โทรทัศน์สาธารณะจะเป็นจริงได้หรือไม่ นายสมเกียรติกล่าวว่า  เป็นไปได้ หากทู่ซี้จะทำ เพราะสุดท้ายก็จะเหมือนกับช่อง 11 เพราะการจะทำสถานีโทรทัศน์ต้องใช้เงินในการสร้างคนและสร้างงาน หากไม่มีเงินสุดท้ายคนที่สร้างมาก็จะไปอยู่กับสถานีอื่น มองว่าข่าวที่ดีนั้นอยู่ได้ทุกช่องและเชื่อว่าทีวีที่มีโฆษณาก็สามารถที่จะทำรายการดีๆได้

"ผมพูดได้เลยว่าสุดท้ายโทรทัศน์สาธารณะก็จะล้มเหลว แล้วก็จะเป็นสถานีที่เอาไว้ให้ เอ็นจีโอ ได้พูดว่ามีสถานีโทรทัศน์แล้ว และต่อไปก็จะตกลงกันว่าเป็นเวลาของใครบ้างที่จะออกมาพูด แต่ผมอยากจะบอกว่าโทรทัศน์ ไม่ใช่เพียงว่าใครจะออกมาพูด แต่มันต้องเป็นองค์ประกอบทั้งเรื่องและภาพ และโทรทัศน์สาธารณะจะทำเรื่องอะไรก็ต้องเหนือกว่าสถานีทั่วไป หากเป็นละครก็ต้องเป็นละครที่ดีกว่า สารคดี ก็ต้องดีกว่า ซึ่งทั้งหมดก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น"นายสมเกียรติกล่าว

นายสมเกียรติ กล่าวว่า ขณะนี้ไม่น่าที่จะมีโทรทัศน์สาธารณะแล้ว เพาะทุกวันนี้ทุกคนก็สร้างช่องทีวีของตัวเองได้ เพราะมีสถานีต่างๆ เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นช่องหนัง ช่องสารคดี ผู้บริโภคก็แค่เพียงจำเวลาและเลือกชมเท่านั้น ส่วนการเกิดโทรทัศน์สาธารณะอย่างในต่างประเทศนั้น ต่างก็เกิดในช่วงที่ไม่มีการแข่งขัน จึงสามารถเก็บเงิน และทำให้ประชาชนดูได้ แต่ประเทศไทยตอนนี้ไม่ใช่เป็นภาวะอย่างนั้นแล้ว  ทางที่ดีเราควรทำให้เปิดสถานีโทรทัศน์ได้ง่ายขึ้น เช่น สถานีผ่านดาวเทียม แต่หากเป็นสถานีที่ต้องใช้ช่องความถี่  ก็อาจจะมีการแข่งขันเรื่องสัมปทานบ้าง แต่หากสถานีช่องใดผลิตรายการที่เป็นสาระมากก็อาจจะลดค่าสัมปทานลง