ชำนาญ จันทร์เรือง
อนุสนธิคำพิพากษาของศาลจังหวัดทุ่งสงให้จำคุก พญ.
ก่อนอื่นเราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าแพทยสภา สภาการพยาบาล สภาเภสัชกรรม ทันตแพทยสภา คณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ เคยได้ร่วมกันออกประกาศรับรองสิทธิของผู้ป่วย เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพกับผู้ป่วยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอันดีและเป็นที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ดังต่อไปนี้
1. ผู้ป่วยทุกคนมีสิทธิพื้นฐานที่จะได้รับบริการด้านสุขภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
2. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับบริการจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากความแตกต่างด้านฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม ลัทธิการเมือง เพศ อายุ และลักษณะของความเจ็บป่วย
3. ผู้ป่วยที่จะขอรับบริการด้านสุขภาพมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเพียงพอและเข้าใจชัดเจนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกตัดสินใจในการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพปฏิบัติต่อตน เว้นแต่เป็นการช่วยเหลือรีบด่วนหรือจำเป็น
4. ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต มีสิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือรีบด่วนจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพ โดยทันที ตามความจำเป็นแก่กรณี โดยไม่คำนึงว่าผู้ป่วยจะร้องขอความช่วยเหลือหรือไม่
5. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบ ชื่อ สกุล และประเภทของผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพที่เป็นผู้ให้บริการต่อตน
6. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นจากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอื่น ที่มิได้เป็นผู้ให้บริการแห่งตน และมีสิทธิในการขอเปลี่ยนผู้ให้บริการ และสถานบริการได้
7. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับการปกป้องข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง จากผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพโดยเคร่งครัด เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย หรือการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
8. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนในการตัดสินใจในการเข้าร่วม หรือถอนตัวจากการเป็นผู้ถูกทดลองในการทำวิจัยของผู้ประกอบการวิชาชีพด้านสุขภาพ
9. ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฎในเวชระเบียน เมื่อร้องขอ ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น
10. บิดา มารดา หรือผู้แทนโดยชอบธรรมอาจใช้สิทธิแทนผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีบริบูรณ์ ผู้บกพร่องทางกายหรือจิต ซึ่งไม่สามารถใช้สิทธิด้วยตนเองได้
เมื่อเรานำมาพิจารณาประกอบกับข้อมูลของเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ที่ออกมาแถลงถึงความเป็นมาของเรื่องนี้ พอที่จะสรุปได้ว่า
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2545 นาง
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช(สสจ.)สอบสวนแล้วบอกว่าหมอไม่ผิด แต่จะจ่ายเงินให้ โดยหมอไม่รับว่าเป็นความผิดพลาด คุณศิริมาศบอกว่าถ้าจะให้รับเงินต้องอธิบายก่อนว่าคุณแม่เธอตายเพราะอะไร ถ้าหมอไม่ผิดเธอก็เหมือนไปขู่กรรโชกทรัพย์มันไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ สสจ.บอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้ไปฟ้องเอาเอง
คุณศิริมาศจึงไปแจ้งความ เมื่อไปแจ้งความเธอจึงรู้ว่ามีการใช้อิทธิพลท้องถิ่น ทำให้ตำรวจไม่รับแจ้งความ ไม่ยอมทำสำนวนส่งอัยการ
เธอร้องเรียนต่อแพทยสภาซึ่งก็ได้รับคำตอบสั้น ๆ ว่า "คดีไม่มีมูล" ร้องเรียนต่อ รมว.สาธารณสุข ก็ไม่ได้รับคำอธิบายว่าคุณแม่เป็นอะไรตาย เธอจึงร้องเรียนไปยังหน่วยงานอื่นอีก 16 หน่วยงาน พบว่าตำรวจมีความผิดจนถูกย้าย และอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ฟ้องคดีนี้
ปลายปี 2545 คุณศิริมาศเข้ารวมตัวกับเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ซึ่งช่วยเธอยื่นฟ้องสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของ รพ.ร่อนพิบูลย์ เป็นคดีแพ่ง ตาม พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ปี 2539 จนกระทั่งปลายปี 2548 ศาลชั้นต้นตัดสินให้คุณศิริมาศชนะคดีแพ่ง โดยศาลพิพากษาว่า รพ.ประมาทเลินเล่อ สธ.ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 6 แสนบาท ระหว่างนั้นทางอัยการจังหวัดทุ่งสงได้ยื่นฟ้องในคดีอาญา
คุณศิริมาศเหนื่อยมาหลายปี หนังสือก็ไม่ได้เรียนทั้งที่เธอเอ็นทร็านซ์ติดคณะชีวเคมี เธออยากเรียนหนังสือ จึงขอร้องสำนักงานปลัดกระทรวงฯ ว่าอย่าอุทธรณ์เลย เธอพอใจแล้ว และเงินจำนวน 6 แสนบาทนั้นแม้จะไม่มากหากเทียบกับชีวิตแม่ แต่ก็คงพอทำให้เธอกับน้องๆ ได้เรียนหนังสือ เพราะหลังจากแม่ตายก็บ้านแตก พี่น้อง 5 คนแตกแยกกันไปคนละทิศละทาง เธอกับน้องๆ ไม่มีใครส่งเสียให้ได้เรียน ความเป็นอยู่ลำบาก
แต่สำนักงานปลัดกระทรวงฯ กับแพทยสภากลับร่วมกันตั้งทีมทนายเข้าต่อสู้คดี และยื่นอุทธรณ์คดีแพ่งในประเด็นอายุความ จนทำให้คุณศิริมาศต้องได้รับความพ่ายแพ้เนื่องจากคดีหมดอายุความเมื่อ 12 กรกฎาคม 2550 คดีจึงเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาซึ่งก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
ในคดีอาญา ชมรมแพทย์ชนบทได้ประสานกับเครือข่ายฯ ว่าจะหาทางออกกันอย่างไรโดยเครือข่ายฯ อาสาเจรจากับคุณศิริมาศ ซึ่งคุณศิริมาศบอกว่ามาพูดตอนนี้มันสายไปแล้ว อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว และคดีนี้เป็นคดีอาญาที่ยอมความกันไม่ได้ แต่ก็มีทางออก โดยให้แพทย์ขอโทษอย่างเป็นทางการ และทำบุญให้แม่เธอ แล้วเธอจะไปแถลงต่อศาลเองว่าไม่ติดใจเอาความ และให้หมอไปรับสารภาพกับศาลท่านพร้อมๆ กัน โทษหนักจะได้เป็นเบา อย่างมากศาลก็รอลงอาญา
ครั้งแรกทาง รพ.ตอบตกลง แต่แพทยสภาและสำนักงานปลัดกระทรวงฯ ไม่ให้คุณหมอขอโทษและให้สู้คดี โดยบอกคุณหมอว่ามีทางชนะ โดยจัดทีมนักกฎหมายและทีมแพทย์ที่จบกฎหมายมาให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดเกิดมาจากคำว่า "ศักดิ์ศรี"ของวิชาชีพหรือขององค์กรนั่นเอง
ถ้าหากวงการวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรแพทย์หรือองค์กรใดก็ตาม ลดการรักษาภาพลักษณ์หรือศักดิ์ศรี ตลอดจนการปกป้ององค์กรของตนเอง แล้วหันมาสนใจสิทธิของผู้รับบริการหรือผู้เสียหายในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว เรื่องราวคงไม่ลุกลามใหญ่โตจนเป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลกันอย่างมากมายดังเช่นปัจจุบันนี้
-----------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2550
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)