"ถ้ารัฐบาลจะมาบังคับให้ประชาชนภาคใต้เลือกสัญชาติเพียงสัญชาติใดสัญชาติหนึ่งนั้น ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ เพราะถ้าดำเนินการเช่นนั้นจริง รัฐบาลจะต้องปฏิบัติต่อบุคคลอื่นๆ ที่มี 2 สัญชาติซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่า จะเป็นพวกดารา นักร้อง นางงามที่เป็นลูกครึ่งทั้งหลายโดยไม่มีการยกเว้น ไม่ใช่จะเลือกปฏิบัติเฉพาะประชาชนในชายแดนภาคใต้เพียงกลุ่มเดียว" นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำภาควิชานิติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เชียงใหม่ กล่าว
นายสมชายเห็นว่า หากรัฐบาลหยิบยกเรื่องกรณีบุคคลที่มีสองสัญชาติ โดยให้เลือกเอาเพียงสัญชาติใดสัญชาติหนึ่งในพื้นที่เฉพาะชายแดนภาคใต้นั้น อาจถือว่าละเมิดรัฐธรรมนูญได้ อีกทั้งในกฎหมายระหว่างประเทศก็บอกชัดเจนว่า รัฐจะไม่ถอนสัญชาติของบุคคลที่เกิดโดยหลักสืบสายโลหิต หรือเกิดในผืนแผ่นดินนั้น ตอนนี้ไม่รู้ว่ารัฐเอาอำนาจอะไรมาใช้ปฏิบัติ
นายสมชาย กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลต้องการให้บุคคลมีสัญชาติเดียวนั่นหมายถึงว่า จะต้องมีการรื้อปรับแก้ไขกฎหมายกันใหม่และจะต้องมีการปฏิบัติต่อคนที่มี 2 สัญชาติกันทุกกลุ่มทั่วประเทศ ซึ่งดูแล้วเป็นไปได้ยาก
ห่วงเกิดปัญหาคนไร้รัฐ
รศ.ดร.
โดยพิจารณาทางปฏิบัติของนานารัฐบนโลกในปัจจุบันนี้ ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะกฎหมายระหว่างประเทศ ประเภทจารีตประเพณีระหว่างประเทศ จึงพบว่า รัฐจะไม่ถอนสัญชาติของคนชาติโดยหลักสืบ สายโลหิต แม้บุคคลนั้นจะเลวทรามต่ำช้าประการใด การประหารชีวิตให้สิ้นสุดลงอาจเกิดได้ต่อคนชาติในหลายประเทศ
แต่การถอนสัญชาติให้คนชาติโดยหลักสืบสายโลหิตให้ตกเป็นคนไร้รัฐทั้งโดยข้อเท็จจริงหรือโดยข้อกฎหมาย เป็นสิ่งที่อารยประเทศผู้เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ไม่กระทำ เนื่องจากการตกเป็น "คนไร้รัฐ" ย่อมทำให้มนุษย์ไม่อาจได้บริโภค "สิทธิมนุษยชน" อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
แค่เป็นคนสองสัญชาติไม่น่าจะเป็นเหตุแห่งการถอนสัญชาติไทย ในยุคที่การข้ามชาติเป็นเรื่องทำได้ง่ายและไม่นานนัก การไปมีความสัมพันธ์กับรัฐต่างประเทศ อาทิ การมีบุพการีฝ่ายหนึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือคู่สมรสเป็นคนต่างด้าวหรือการไปตั้งรกรากในต่างประเทศ จึงไม่อาจหมายความโดยอัตโนมัติว่า บุคคลจะสิ้นความผูกพันกับประเทศไทยเสมอไป หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นประสงค์ร้ายต่อสังคมไทยโดยทันที
ในขณะเดียวกัน ความเป็นภัยต่อรัฐไทยอาจเกิดขึ้นได้แม้บุคคลนั้นมีสัญชาติไทยแต่เพียงสัญชาติเดียว เพราะไม่มีความสัมพันธ์กับรัฐต่างประเทศเลย กล่าวคือ มีบุพการีเป็นคนไทยหรือคู่สมรสก็เป็นคนไทยหรือบ้านเรือนตั้งรกรากในประเทศไทย โดยสรุป การมีหลายสัญชาติและความเป็นภัยต่อรัฐเป็นคนละเรื่องกัน ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน การเอาเหตุที่มีหลายสัญชาติมาเป็นเหตุให้ถูกถอนสัญชาติไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะมีเหตุผล
นอกจากข้อท้วงติงทางกฎหมาย ก็ยังจะท้วงติงทางจิตวิทยาด้วยว่า ควรที่รัฐบาลจะคำนึงถึงจิตใจของคนสองสัญชาติ โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ยกตัวอย่างบุคคลสองสัญชาติอย่าง "กาเซ็ม" ซึ่งเกิดในประเทศมาเลเซียจากบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่มีมารดาซึ่งมีสัญชาติไทย ซึ่งอาจจะสะเทือนใจในข่าวที่ออกมาจากรัฐบาลที่ดูรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขาเสียเหลือเกิน
"มันผิดด้วยหรือที่กาเซ็มจะรักทั้งแผ่นดินมาเลเซียของบิดาและแผ่นดินไทยของมารดา ? การคงไว้ซึ่งสัญชาติไทยและมาเลเซียในชีวิตของกาเซ็มเป็นไปไม่ได้หรือ ? หากจะมีคนหลายสัญชาติสักคนที่เป็นภัยต่อรัฐ ก็ควรที่จะจัดการปราบปรามลงโทษคนหลายสัญชาติคนนั้นในลักษณะเดียวกับคนที่มีสัญชาติไทยแต่สัญชาติเดียว"
รศ.ดร.พันธุทิพย์ ยังแสดงความเห็นในเวบไซต์ www.archanwell.org อีกว่า ปัญหาจริงๆ ก็คือ ความไม่มั่นคงของชายแดนไทย-มาเลเซีย เกิดจากระบบการควบคุมการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายยังไม่มีประสิทธิภาพนักมิใช่หรือ ? ความไม่สงบของภาคใต้เกิดจากระบบข่าวกรองการก่อการร้ายยังไม่มีประสิทธิภาพนักมิใช่หรือ ? ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองในภาคใต้เกิดจากขบวนการก่อการร้ายที่เคลื่อนไหวในภาคใต้มิใช่หรือ ?
ดังนั้น การแก้ปัญหาก็น่าจะมุ่งไปที่สาเหตุของปัญหาอันได้แก่ การเสริมประสิทธิภาพในระบบควบคุมการผ่านแดนไทย-มาเลเซียของบุคคลทุกคน การตรวจระบบข่าวกรองให้มีศักยภาพมากขึ้น และ การติดตามบุคคลที่การข่าวระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย หรือแม้จับกุมคนที่มีการกระทำที่เป็นภัยโดยชัดแจ้ง หรือแม้ถอนสัญชาติไทยของคนที่เป็นผู้ก่อการร้ายตัวจริง หากสัญชาติที่จะถอนนั้นมิใช่สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตและไม่ทำให้บุคคลนั้นตกเป็นคนไร้สัญชาติ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ในบทความประกอบ เรื่อง ถือหลายสัญชาติ : เป็นภัยต่อรัฐจริงหรือ ? ผิดกฎหมายจริงหรือ ? โดย รศ.ดร.
http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=120&d_id=120&page=1
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)