โดย : อิสระ ชูศรี
มีคำเตือน 3 ประการสำหรับเพื่อนๆ ที่คิดจะอ่านบทความนี้ต่อไป
ประการแรก ผมอาจก่อความรำคาญแก่คนที่รู้สึกต่อต้านอย่างแรงกับการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและสนามหลวง
ประการถัดมา บทความนี้อาจสร้างความผิดหวังแก่แฟนพันธุ์แท้ของภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง The Lord of the Rings (ซึ่งต่อจากนี้จะเรียกย่อๆว่า LOR ตามด้วยเลข 1-2-3 ในกรณีที่จะระบุถึงภาคใดภาคหนึ่ง)
และสุดท้ายก็คือคนที่ไม่เคยอ่านหรือดูหนัง LOR อาจจะงง เพราะเรื่องมันยาว ผมจึงไม่ย่อเรื่องให้ฟังเหมือนในบทความชิ้นก่อนๆ
เหตุผลเบื้องหลังคำเตือน 3 ข้อก็คือ ผมได้ไปร่วมการชุมนุมของพันธมิตรฯ ดังกล่าว ด้วยความเต็มอกเต็มใจมาแล้วถึงสามครั้ง ทัศนะที่ลำเอียงนี้อาจสะท้อนออกมาอยู่ดีแม้ผมไม่ตั้งใจจะโฆษณาชวนเชื่อก็ตาม
อีกอย่างหนึ่งก็คือการกล่าวถึง LOR ของผมในบทความนี้จะเป็นไปอย่างไร้กติกาโดยสิ้นเชิง โดยเป็นการอ้างอิงกับประสบการณ์ทางอารมณ์ในการอ่านวนิยายของโทลเคียนมากกว่าจากการชมภาพยนตร์ของแจ็คสัน
แถมผมยังจะยึดเอาบรรดา "ฮอบบิต" เป็นพระเอกของท้องเรื่อง ไม่ว่าในหนังสือหรือภาพยนตร์จะให้บทเด่นกับใครก็ตาม
เข้าใจจุดยืนและอคติของของผู้เขียนกันแล้วนะครับ...
ผมเข้าร่วมการชุมนุมทางการเมืองอย่างผู้ตามตัวเล็กๆ หรือจะเรียกอย่างอุปมาว่า ถูกถีบเข้าสู่มหาสงครามในแบบของ "ฮอบบิต" ก็ได้ ในใจคิดเพียงว่า เราทำอะไรได้แค่ไหนก็ทำ ตราบเท่าที่มันไม่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกของตัวเอง
ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองพอสมควร แต่ไม่คิดว่าตัวเองรู้แจ้งแทงตลอดอะไรนัก เพราะผมไม่ใช่พ่อมดเรืองปัญญาวิชาการ อย่างแกนดาล์ฟ หรือผู้เข้มแข็งแกร่งกล้าสง่างามอย่างพวกคนธรรพ์ คนแคระ หรือมนุษย์
ผมโกรธคุณทักษิณและเห็นว่าพฤติกรรมที่ขาดจริยธรรมและการเป็นเผด็จการใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตยของเขาเป็นปัญหาของบ้านเมือง และเมื่อโกรธแล้ว ผมก็ไม่หายโกรธจนกว่าเขาจะเลิกเป็นนายกรัฐมนตรี
ถึงการประท้วงจะไม่สามารถทำให้เขาลาออกได้ หรือการเลือกตั้งจะทำให้เขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ผมก็จะโกรธของผมอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
แหวนแห่งอำนาจของคุณทักษิณนั้นมันทรงพลังและชั่วร้ายเกินไป เพราะมันครอบงำแหวนวงอื่นๆจนเสียสมดุลแห่งอำนาจไปหมดสิ้น นักวิชาการอาจจะบอกว่ามันเป็นการแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบหรืออะไรอย่างอื่นก็แล้วแต่
ผมเพียงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบหน้าจนหายใจไม่ออก เพราะทุกสิ่งที่คุณทักษิณทำและพูดมา 5
ปีมันเหมือนกับจะบอกว่า Either you're with me, or you're against me! ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผม โน่น!
รอสี่ปีค่อยเลือกตั้งใหม่ ไม่งั้นจงหุบปากซะ เพราะเขาเข้ามานำตามที่คนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกเขามา
การมีพันธมิตรแห่งแหวนเกิดขึ้นมาเพื่อโค่นล้มอำนาจของคุณทักษิณ เปิดโอกาสให้ผมมีลุ้นขึ้นมาบ้าง
แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ว่าอาจมีใครในพันธมิตรคิดเกินเลยไปเพราะไม่อาจทนความเย้ายวนของอำนาจได้
หนังสือพิมพ์ก็ร่ำๆว่าเดี๋ยว พล.ต.จำลองจะชิงการนำแล้วพาคนไปตาย
อันนั้นผมไม่กลัวเท่าไหร่หรอก เพราะถ้ามันมีความน่ากลัวเกินระดับความปลอดภัยที่ผมรับได้ ผมก็อาจจะกลับบ้าน
ผมเคยร่วมการชุมนุมทางการเมืองมาบ้างในอดีต และรู้ว่าโอกาสบาดเจ็บหรือตายนั้น อาจจะเท่ากับหรือน้อยกว่าการนั่งรถกลับบ้านช่วงปีใหม่หรือสงกรานต์ ความรู้สึกกลัวว่าจะโดนใช้เป็นเครื่องมือหรือถูกหักหลังนั้นทนได้ยากกว่า
จำได้ไหมครับว่า โฟรโด รู้สึกโดดเดี่ยวและปวดร้าวแค่ไหนที่ไม่อาจไว้ใจใครได้เลยในหมู่พันธมิตร
มองไปทางไหนก็มีแต่ความหวาดระแวง กลัวว่าคนนั้นคนนี้อยากจะแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง
ผมมองว่า การที่โฟรโดเลือกจะเดินทางตามลำพังนั้น ก็เสมือนว่ามีบางครั้งที่เราต้องถามหาความเป็นธรรมในใจตัวเองว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วก็เดินไปทางนั้น ผิดอย่างมากก็แค่ล้มเหลวหรือผิดหวังเท่านั้น นี่ล่ะเหตุผลที่ว่า ทำไมผมชอบฮอบบิต
เพราะแหวนแห่งอำนาจเมื่ออยู่ในมือของฮอบบิตนั้น อย่างมากก็ทำให้หายตัวได้หรืออายุยืนขึ้นนิดหน่อย
ไม่ทำให้มีอำนาจครอบงำใครได้มากเหมือนกับไปอยู่ในมือของพ่อมด มนุษย์ คนแคระ หรือคนธรรพ์
บางครั้งหากรางวัลมันสูงเกินไปก็เย้ายวนจนเกินห้ามใจ
เห็นไหมเกิดอะไรขึ้นใน LOR2 เมื่อพ่อมดขาวซารูมานพยายามจะต่อรองกับจอมมาร ทำไปทำมาก็ต้องกลายเป็นมารไปซะด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นกับซารูมานก็ไม่ต่างไปจากการที่เนติบริกรและผู้ทรงภูมิทั้งหลายยอมเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ
แรกๆ ก็คิดว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะต่อต้าน เข้าไปอยู่ใกล้ๆผู้มีอำนาจน่าจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองได้มากกว่า แล้วเป็นไงล่ะ ผลของความชาญฉลาดเกินไป หรือจะมองอีกแง่หนึ่งก็ได้เหมือนกัน
มองว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านอยู่บนหอคอยหนึ่งแล้วคุณทักษิณอยู่บนอีกหอคอยหนึ่ง
ในคืนวันที่ 26 ก.พ. ผมอดหวั่นไหวไม่ได้ว่า คุณอภิสิทธิ์จะมีโอกาสกลายเป็นซารูมานไปมั้ยนะ
เราจะไว้ใจผิดหรือเปล่า หรือว่าสุดท้ายแล้วหอคอยไหนๆ ก็มีโอกาสกลับกลายมาเป็นผู้พิฆาตประชาชนได้หากเราไว้ใจเขามากไป
ใน LOR1 นั้น ฮอบบิตทั้งสี่ออกเดินทางจากไชร์ไปร่วมภารกิจกับพันธมิตรทั้งหลาย
ในตอนที่ผมอ่านหนังสือนั้นรู้สึกราวเดินทางตามกบเมื่อแรกออกไปนอกกะลา ได้เห็นอะไรๆที่น่าตื่นใจมากมาย ที่เด่นชัดที่สุดก็คือการมีโอกาสสัมผัสกับ "วีรบุรุษ" ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
ใครๆก็ดูเหมือนจะฉลาดเฉลียวและมีความสามารถมากกว่าฮอบบิตทั้งนั้น แต่สิ่งที่ฮอบบิตมีมากกว่าคนอื่นนั้นมีแค่อย่างเดียวคือความเรียบง่ายจริงใจใสซื่อ ซึ่ง "คนเก่ง" คนไหนก็ไม่มีมากไปกว่าฮอบบิต
LOR1 จบลงด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อโฟรโดรู้ว่า คนเก่งที่น่าชื่นชมที่สุด ก็ไม่อาจเชื่อได้อย่างสนิทใจไร้ข้อกังขา
ผมนึกถึงตอนที่ผมเคยเห็น นพ.พรหมินทร์ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เพราะการงานชักพาให้มีโอกาสเจอกัน
ต่อมาพี่ร่วมงานซึ่งเป็นคนร่วมสมัย 6 ตุลา '19 ได้เล่าความเก่งและความเสียสละกล้าหาญของท่านในวัยหนุ่ม ด้วยฉันทาคติต่อคนเดือนตุลาเป็นพื้นฐาน ผมก็รู้สึกทึ่งและนับถือ
จนเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้ผมได้ชมเขาออกทีวีและอ่านคำสัมภาษณ์ของเขาในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง หมอพรหมินทร์บอกว่า ในเวลา 5 ปีที่คุณทักษิณขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นท่านและครอบครัวของท่านไม่ได้มีทรัพย์สินเพิ่มเติมขึ้นเลย เคยมีจำนวนหุ้นอยู่เท่าไรก่อนเป็นนายกฯ ตอนขายให้เทมาเสกก็มีเท่านั้น
เพียงแต่เพราะมูลค่าของหุ้นโดยรวมในตลาดหลักทรัพย์มันเพิ่มขึ้น มูลค่าทรัพย์สินของท่านก็เลยเพิ่มขึ้นไปด้วยเท่านั้น จริงๆ แล้วท่านไม่ได้รวยขึ้นเลย เพราะทรัพย์สินของท่านไม่ได้เพิ่มขึ้น มีแต่มูลค่าของทรัพย์สินเท่านั้นที่เพิ่ม มูลค่าน่ะมันเพิ่มได้ลดได้ พอเพิ่มแล้วเขาเอาไปเปลี่ยนมาเป็นเงินสดมันก็เลยดูเยอะ
ไม่กี่วันนี้คุณโภคินบอกอีีกว่า จริยธรรมของผู้นำนั้นมันเป็นนามธรรม ในการดำเนินการทางการเมืองนั้นกติกาต้องมาก่อน ทุกวันผมได้แต่ฟังและอ่านอะไรต่ออะไรแบบนี้...
ทรัพย์สินไม่เพิ่มมีแต่มูลค่าเพิ่ม จริยธรรมหรือความซื่อสัตย์เป็นนามธรรมอยู่ที่ใครจะคิดอย่างไร
ฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่าคนเก่งๆ นี่เขาพูดอะไรพูดได้จิปาถะ ผมมองไปทางไหนเห็นแต่ซารูมาน
เทียบตอนจบของ LOR3 ในหนังกับในนิยายนั้น ปรากฏว่าในหนังมีส่วนที่หายไปอยู่พอสมควร คือ
ตอนที่ฮอบบิตทั้งสี่กลับมาถึงไชร์แล้วก็พบว่า บ้านที่เคยสงบสุขได้ลุกเป็นไฟ เพราะบรรดาลูกกระเป๋งของซารูมานได้แทรกซึมเข้ามาปกครองไชร์
ฮอบบิตทั้งสี่ต้องระดมมวลฮอบบิตลุกขึ้นสู้ขับไล่ทรราชออกไปจนไชร์ก็กลับสงบสุขขึ้นอีกครั้ง
หากตัดเนื้อหาตอนนี้ออกไปเหมือนเช่นในหนังเราก็อาจจะเรียก LOR3 ว่าเป็นตอน "ราชาคืนบัลลังก์" ได้
แต่สำหรับกองเชียร์ฮอบบิตอย่างผมเห็นว่า เนื้อหาท่อนนี้เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ เพราะการเดินทางของฮอบบิตทั้งสี่มาจบลงที่การเปลี่ยนแปลงในระดับจิตสำนึกของพวกเขา ซึ่งได้แก่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพิทักษ์สิ่งที่มีคุณค่าในชีวิต ซึ่งในเรื่องนี้ได้แก่ความสงบสุขของไชร์ ที่ฮอบบิตเคยอยู่กันอย่างพี่น้องไม่แตกแยกและไม่มีการใช้อำนาจกดขี่กันอย่างอธรรม
สำหรับผมมันหมายถึงการค้นพบแหวนแห่งอำนาจที่มองไม่เห็นในใจของคนตัวเล็กแบบฮอบบิต แต่กว่าที่เขาทั้งสี่จะกล้าลุกขึ้นต่อสู้อย่างนี้ได้ก็ต้องผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาก่อน ขณะที่เพื่อนฮอบบิตอื่นๆที่ไม่เคยมีประสบการณ์นั้นล้วนแต่ตกอยู่ในความกลัว ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะฮอบบิตกับความโง่และความกลัวนั้นเป็นของคู่กัน แต่เมื่อไรที่คนโง่เอาชนะความกลัวได้แล้วล่ะก็จงระวังไว้เถิด
ตั้งแต่ต้นเรื่อง LOR1 จนเกือบจบ LOR3 ฮอบบิตทั้งสี่ ได้ถูกกระแสธารเชี่ยวกรากของมหาสงคราม LOR
พัดพาเข้าไปร่วมการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่โดยที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หากใครมีโอกาสอ่านนิยายเรื่องนี้อย่างใส่ใจในความรู้สึกของฮอบบิตสักหน่อยก็จะพบว่าพวกเขาทั้งสี่
โดยเฉพาะโฟรโด รู้สึกกังขาระคนตระหนกเพียงใดเมื่อพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้อยู่กับอะไร แลเห็นโอกาสในความสำเร็จนั้นริบหรี่ลงเรื่อยๆ เอาละ
แต่ในที่สุดก็สำเร็จ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าสู้ให้สำเร็จแล้วจะได้กลับไชร์
ตรงกันข้าม การต่อสู้เพื่อปกป้องไชร์ของฮอบบิตทั้งสี่นั้น เป็นการต่อสู้ที่ีไม่มีใครขอให้สู้ เพราะพันธมิตรแห่งแหวนได้สลายตัวไปแล้ว และราชาก็ได้คืนบัลลังก์ไปแล้ว ฉะนั้นผมจึงรู้สึกว่า ไคลแมกซ์ของเรื่องที่ซ่อนไว้ในปลายเรื่อง LOR3 ก็คือการลุกขึ้นสู้ของฮอบบิตซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของประชาชนตัวเล็กๆ
พล็อตที่ถูกต่อขยายมาในตอนท้ายนี้ผมอยากจะเรียกมันว่าเป็นตอน "ประชาคืนบัลลังก์"
ถ้าถามผมว่าใน LOR มีสัญลักษณ์อะไรที่มีความหมายกำกวมที่สุด ผมก็คงตอบว่า "ไชร์" นั่นแหละ ไชร์อาจจะหมายถึงบ้านเกิดเมืองนอน หรือชุมชนท้องถิ่น หรืออาจจะหมายถึงจิตใจที่เรียบง่ายใสสะอาดมีจริยธรรมที่เราอยากพิทักษ์รักษาไว้
ความหมายไชร์จะเป็นอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ ไชร์เป็นสิ่งมีค่าสูงสุดที่ฮอบบิตยอมสละชีพเพื่อปกป้องโดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว
ผมอาจจะโกรธคุณทักษิณในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่ผมไม่เกลียดคุณทักษิณในฐานะคนๆ หนึ่งหรอก
เพราะดูเหมือนท่านเองก็เป็นผัวที่รักเมียและพ่อที่รักลูก เป็นพี่ที่ดูแลน้องๆ และเป็นเพื่อนที่ส่งเสริมเพื่อนฝูงให้ได้ดีมีสุข
แต่ตอนนี้ท่านทำให้ไชร์ของผมลุกเป็นไฟไปหมดแล้ว มีแต่ลมที่ท้องสนามหลวงเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกเย็นลงได้บ้าง
ฉะนั้นผมจึงไม่รู้สึกอับอายเลยสักนิดเดียวถ้าใครจะมาหาว่าผมโง่เง่าตกเป็นเครื่องมือของใครบางคนเวลาที่เขาร้องตะโกนว่า ทักษิณ... แล้วผมก็ตะโกนรับว่า ...ออกไป
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)