บทความ แด่ ครป.และ คมช. : 15 เดือนจากรัฐประหารสู่การเลือกตั้ง กับปรากฏการณ์ "ขำกลิ้งลิงกับหมา"

มุกดา ตฤณชาติ

 

 

จากการรัฐประหาร19 กันยายน 2549 จนถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 23 ธันวาคม 2550 รวมเป็นเวลา 15 เดือนเศษ ประชาชนไทยมีโอกาสได้เห็นกระบวนการทำงานที่สอดคล้องเข้าขาของสององค์กรที่มีพื้นหลังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

 

องค์กรหนึ่งคือกลุ่มนายทหารใหญ่ใกล้เกษียณที่อยู่ๆก็เกิดอดรนทนไม่ได้กับการบริหารประเทศของอดีตนายกฯทักษิณ เห็นว่ามีลักษณะสร้างความแตกแยก ทุจริตโกงกิน แทรกแซงองค์กรอิสระ และสุดแสนจะจ้วงจาบหยาบช้าต่อเบื้องสูง องค์กรนี้มีผู้นำหลายคนผลัดกันมาแสดงบทบาท มีกองทัพ ระบบข้าราชการและงบประมาณที่เรียกเก็บจากประชาชนเป็นกองกำลังหนุนหลัง กลุ่มบุคคลนี้ใช้ชื่อ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ( คมช.)

 

อีกองค์กรคู่ขาที่ทำงานร่วมกันในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัย ได้แก่ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ซึ่งรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อรณรงค์คัดค้านการรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 และรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย นายกฯ ส.ส. และ ส.ว.ต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องแปลกว่า เมื่อเวลาผ่านเลยมา 15 ปี องค์กรนี้กลับ เรียกร้องนายกฯพระราชทาน สนับสนุนการรัฐประหา รและฉีกรัฐธรรมนูญ

 

เมื่อเปรียบเทียบแล้ว องค์กรนี้มีความแตกต่างจากองค์กรแรกอย่างสุดขั้ว จุดแข็งที่เข้ามาเสริมการทำงานเป็นทีมกับองค์กรแรกได้ก็คือ เป็นองค์กรขนาดเล็กแต่เริ่มมีชื่อเสียงติดตลาดจากเหตุการณ์นองเลือดพฤษภา 2535 รวมถึงการแสดงตัวเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์สินค้าแบรนด์เนมยี่ห้อ "องค์กรภาคประชาชน" อย่างต่อเนื่อง บวกกับลักษณะพิเศษของผู้นำที่มีความฉลาดเฉลียว เลี้ยวลด สามารถผลิตเหตุผลขึ้นมาแถลงข่าวเพื่อโจมตีตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มีลักษณะเป็นกองกำลังแบบจรยุทธ

 

ศัตรูร่วมของสององค์กรข้างต้นถูกเรียกว่า "ระบอบทักษิณ" แม้ว่าการรัฐประหารจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นอดีตนายกฯ และไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้ แต่สององค์กรเสาหลักที่ค้ำจุนชาติบ้านเมืองเอาไว้ก็ยังมองเห็นว่า นโยบายต่างๆ และความนิยมที่ประชาชนมีต่อพรรคไทยรักไทยที่ถูกเรียกรวมว่า "ระบอบทักษิณ" เป็นเสมือนเชื้อโรคร้ายที่ต้องกำจัด

 

คมช. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีแต่ชายชาติทหารได้ระดมกลยุทธ เล่ห์กลมนต์คาถา กลไกเครื่องมือต่างๆ ที่ตนควบคุมอยู่ สกัดกั้นโจมตี ไม่ให้อดีต ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยกลับเข้ามามีอำนาจ แต่ในขณะเดียวกันกลับเห็นการสาวไส้ให้กากินภายในองค์กร มีเอกสารลับ คลิปวิดีโอลับ ฯลฯ ที่เปิดเผยกลยุทธเล่ห์เหลี่ยมของ คมช.หลุดออกมา ช่วยเรียกคะแนนความเห็นใจให้กับพรรคพลังประชาชนอย่างสม่ำเสมอ นอกจากคะแนนความเห็นใจที่ทาง คมช.มอบให้ พรรคพลังประชาชนแล้ว ก่อนการเลือกตั้งเพียงแค่ 3 วัน คมช.ได้ผลักดัน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ผ่านสภาฯ แถมให้เป็นเครื่องมือในการรวบอำนาจบริหารประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จ

 

ในส่วนของ ครป.ซึ่งในปัจจุบันได้มองเห็นอย่างถ่องแท้แล้วว่า นายกฯพระราชทานหรือการยึดอำนาจรัฐประหารเป็นวิธีในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่ดีกว่ากระบวนการรัฐสภาหรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือนักการเมืองสีเทาที่พวกเขารังเกียจ ครป.ได้ทำหน้าที่ถนัดของเขา ก็คือการแถลงข่าวในทุกสถานการณ์การเมือง โดยอ้างว่ายึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย แต่มีนัยยะแอบแฝงแทบทุกครั้งว่า ถ้าพรรคพลังประชาชนได้เป็นพรรครัฐบาลจะเกิดความสับสนวุ่นวายอีก ซึ่งประชาชนก็ยังคงจำได้ดีว่าหนึ่งในเงื่อนไขของการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา ก็คือการประกาศชุมนุมของพันธมิตรฯ ซึ่ง คุณสุริยใส กตะศิลา เลขาฯ ครป. ก็มีภาพเป็นหนึ่งในแกนนำการชุมนุม

 

ปัญหามีอยู่ว่าประชาชนกำลังรู้สึกว่าถูกกดดันข่มขู่โดย ครป. อยู่หรือไม่...? ในขณะเดียวกันก็อาจเกิดคำถามจากประชาชนถึง ครป. ว่า ประชาธิปไตยของ ครป.มีหน้าตาเป็นแบบไหน...?

 

หลังการเลือกตั้ง ตัวแทนของทั้งสององค์กรก็ออกมาให้ความเห็นชวนให้ขำกลิ้งกันอีกรอบ คุณสุริยะใส เลขาฯ ครป. สวมวิญญาน "ศรีธนญชัย" ตีขลุมเหมาเอาจากผลของการเลือกตั้งว่า พรรคอื่นๆ นอกจาก พรรคพลังประชาชนมีจำนวน ส.ส.เกินครึ่ง ทำให้เห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ต่อต้านระบอบทักษิณ (1) ซึ่งไม่ว่าจะตรงหรืออ้อมก็เป็นการทำลายความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชาชนนั่นเอง ...!

 

ส่วนพลเอกบุญรอด สมทัศน์ หนึ่งในแกนนำคณะรัฐประหาร และ รมว.กลาโหม ก็ออกมาแสดงภูมิรู้กับสื่อมวลชนว่า ตามประเพณีแล้วคนกรุงเทพฯจะเป็นคนเลือกนายกรัฐมนตรี (2) การแสดงความคิดเห็นของผู้นำการรัฐประหารคนสำคัญในครั้งนี้ ถือว่าสร้างความสั่นสะเทือนให้กับแวดวงวิชาการไทยอย่างถล่มทลาย นักวิชาการระดับพระกาฬหลายท่านที่ออกมาทำงานพิเศษหารายได้เสริมกับ คมช. ต้องรีบเดินทางกลับมหาวิทยาลัย เข้าห้องสมุดเพื่อค้นหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์มายืนยันถึงความรอบรู้ของผู้นำท่านนี้

 

ประเด็นที่ดูว่าน่าจะเป็นตลกร้ายที่สุดในสังคมไทยก็คือ กระบวนการการทำลายล้างระบอบทักษิณโดยสององค์กรคู่หูคู่ฮา กลับสร้างปรากฏการณ์ที่น่าแปลกใจ จากการที่พวกเขาทุ่มโถมแรงกายและแรงสมองมากขึ้นเท่าไร ยิ่งกลับทำให้คนที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นอาชญากร คอร์รัปชัน ขายสมบัติชาติ และลบหลู่สถาบันชั้นสูง กำลังกลายเป็นวีรบุรุษในสายตาของประชาชน อดีต ส.ส.ไทยรักไทย และคนใกล้ชิดของคนที่เขาตั้งข้อกล่าวหา ทยอยเดินกลับเข้าสภาในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างสง่าผ่าเผยกว่าครึ่งสภา กระแสความนิยมต่อพรรคพลังประชาชนสวนทางกับความปรารถนาของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาทำลงไปทั้งหมดได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการหาเสียงและกระสุนดินดำสำหรับพรรคพลังประชาชนลงไปอย่างมหาศาล

 

และสุดท้ายก็คือ คำว่า "กลุ่มอำนาจเก่า" ที่พวกเขาใช้เรียกหา กำลังกลายมาเป็น "กลุ่มอำนาจใหม่" ในขณะเดียวกันพวกเขากำลังจะกลายไปเป็น "กลุ่มอำนาจเก่า" แทน

 

ผู้เขียนมีข้อสงสัยว่า พวกเขายังมีสติพอที่จะสำเหนียกได้หรือไม่ว่า ประชาชนที่มาใช้สิทธิถึงร้อยละ74.45 เป็นการส่งสัญญาณบอกพวกเขาว่า ความปรารถนาดีที่พวกเขายัดเยียดให้ประชาชนมาปีกว่า ถือเป็นการกระทำที่พอเพียงแล้ว

 

เมื่อมองจากสายตาของคนที่อยู่ภายนอก ถึงความพยายามที่ประสบกับความล้มเหลวในบั้นปลายของ คมช.และ ครป. อาจทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ขันเหมือนกับได้ดูอดีตรายการโทรทัศน์ยอดนิยม "ขำกลิ้งลิงกับหมา"

แต่ความซื่อสัตย์แสนรู้น่ารักจากผู้แสดงหลักของรายการขำกลิ้งลิงกับหมา เมื่อเปรียบเทียบกับความล้มเหลวของภารกิจและมูลค่าความเสียหายเพียงเล็กน้อย ย่อมได้รับการอภัยและทำให้เกิดความรู้สึกรักเอ็นดูและให้อภัยจากเจ้าของและผู้ชม

 

ผู้เขียนไม่มีความมั่นใจว่า ความเสียหายจาก "ปรากฏการณ์ขำกลิ้งฯ" ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมานั้น ผู้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศจะมีความรู้สึกอย่างไร ...? และปรากฏการณ์ดังกล่าว จะสามารถเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศตัวจริงได้เหมือนกับรายการขำกลิ้งลิงกับหมาหรือไม่ ...?

 

แต่สิ่งที่ผู้เขียนมั่นใจว่า คำพูดที่ผู้นำของทั้งสององค์กรข้างต้นอยากจะได้ยินเป็นที่สุดจากผู้เป็นนายของเขาคงจะได้แก่คำว่า

 

ไม่เป็นไรนะ...! พยายามเข้านะ...! เอาใหม่นะ...! คมช.คุง......!

ไม่เป็นไรนะ...! พยายามเข้านะ...! เอาใหม่นะ...! ครป.คุง......!

 

สุดท้ายนี้ผู้เขียนต้องกล่าวขออภัยล่วงหน้า หากวิธีการเขียนในบทความนี้มีลักษณะเปรียบเทียบ ล้อเลียน เสียดสี ซึ่งอาจสร้างความเสียหายหรือเสื่อมเสียภาพลักษณ์ ผู้เขียนจึงใคร่ขอกราบขออภัยบริษัทผู้ผลิตและนำเข้ารายการขำกลิ้งลิงกับหมา มา ณ โอกาสนี้

 

เชิงอรรถ

(1)   (1) "สำหรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่น่ายินดีที่ฐานมวลชนของอดีตพันธมิตรประชาธิปไตยในหลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็น กทม. ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกและภาคใต้ ได้โหวตแสดงจุดยืนต่อต้านระบอบทักษิณอย่างเหนียวแน่น ซึ่งหากนับรวมคะแนนทั้งประเทศจากฐานกลุ่มการเมือง 3 กลุ่มที่มีปัญหากับระบอบทักษิณ คือ กลุ่มพรรคฝ่ายค้านเดิมพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย กลุ่มพรรคที่แตกตัวมาจากพรรคไทยรักไทยเดิมคือพรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และกลุ่มพรรคที่ขึ้นเวทีกับพันธมิตร คือพรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคประชาราช เมื่อรวมกันแล้วจะเห็นชัดเจนว่าเป็นจำนวนเสียงข้างมาก " สุริยะใส ตักศิลา เลขา ครป. 24 ธันวาคม 2550

 

(2)   (2) "ความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าประชาธิปัตย์ถือว่าเป็นผู้ชนะในการเลือกโดยเฉพาะใน กทม. ซึ่งมีประเพณีที่ว่าผลการเลือกตั้งใน กทม.เป็นตัวชี้ขาดว่าใครจะได้เป็นนายกฯ เมื่อผลออกมาอย่างนี้ พรรคพลังประชาชนมีสิทธิตั้งรัฐบาลไปก่อน ถ้าตั้งไม่ได้ประชาธิปัตย์ก็มีสิทธิตั้งรัฐบาล ต้องรอการจับขั้วการเมือง จะชัดขึ้นเรื่อยๆ มีความเชื่อลึกๆ ว่าประชาธิปัตย์จะจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะคนกรุงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี" พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2550 มติชน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท