ทั้งนี้ นายสมบัติ รับทราบข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท นายพลทั้งสองเมื่อวันที่ 31 ส.ค.50 สืบเนื่องจากการจัดซุ้มเกมปาเป้าต้านรัฐประหารที่สนามหลวงเมื่อเดือนมิถุนายน 2550 โดยใช้ใบหน้าล้อเลียน พล.อ.สพรั่ง และ พล.อ.สนธิ ในอิริยาบทที่ไม่เหมาะสม ทำให้ทั้งสองคนได้รับความเสียหาย ดูหมิ่นเกลียดชัง เสียชื่อเสียง ต่อมานายสมบัติไม่ยื่นขอประกันตัวในเบื้องต้นจึงถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลา 12 วันจึงได้ยื่นประกันตัวออกมาสู้คดีในภายหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ ยืนยันต่อศาลว่าต้องการให้ พล.อ.สนธิ และ พล.อ.สพรั่ง ในฐานะโจทก์มาให้การแก่ศาลด้วยตนเอง ซึ่งศาลได้นัดหมายให้โจทก์ทั้งสองพร้อมผู้รับมอบอำนาจมาให้ปากคำในวันที่ 8 เมษายน 2551 เวลา 9.00 น. ส่วนพยานฝ่ายโจทก์ได้แก่ ตำรวจ สน.ชนะสงคราม  2 ปากซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ให้มาให้ปากคำในช่วงบ่ายวันเดียวกัน

สำหรับนายสมบัติ พร้อมพยานฝ่ายจำเลย ได้แก่ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และนพ.เหวง โตจิราการ ให้มาให้ปากคำในวันที่ 9 เมษายน 2551 เวลา 9.00 น.

นายสมบัติ กล่าวว่า การให้โจทก์ทั้งสองมาให้ปากคำด้วยตนเองเป็นเรื่องของหลักการ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะการที่โจทก์บอกว่าการกล่าวหาว่าพวกเขาทรยศชาติและฉีกรัฐธรรมนูญนั้นเป็นการหมิ่นประมาท ก็ต้องให้มาอธิบายว่าเขาทั้งสองได้ทำจริงหรือไม่ และการที่ประชาชนพยายามแสดงออกถึงการต่อต้านการรัฐประหารในรูปแบบต่างๆ ถามว่าเป็นพลเมืองดีหรือเลว ถ้าโดนลงโทษจะเป็นบรรทัดฐานให้สังคมต่อไปว่า หากมีการยึดอำนาจอีกให้ประชาชนอยู่เฉยๆ ให้ผู้มีปืนอยู่ในมือเขาว่ากันไป ประชาชนไม่เกี่ยว หรือเกี่ยวก็ห้ามทำอะไร ห้ามขวางหรือประท้วง ส่วนเขาในฐานะหนึ่งในแกนนำ นปก. เมื่อถูกนายพลทั้งสองใช้กระบวนการทางกฎหมายมาลดทอนการทำกิจกรรมทางการเมือง ก็ต้องให้ทั้งสองมาเสียเวลาอธิบายที่เวทีเดียวกันด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติได้ขอเป็นทนายให้ตัวเองในการให้ปากคำ โดยยอมรับว่าอาจมีปัญหาในเรื่องเทคนิค แต่ไม่เป็นห่วงในเรื่องข้อเท็จจริง เพราะสังคมรู้กันอยู่แล้วว่าการรัฐประหารเกิดขึ้นโดยใคร จึงอยากให้กระบวนการตรงไปตรงมา นอกจากนี้หากใช้ทนายแต่งตั้ง ทนายอาจไม่กล้าซักฝ่ายโจทก์ ดังนั้น การเป็นทนายให้ตัวเองจะทำได้ทั้งในการแก้ต่างให้ตัวเอง และซักถามคนทั้งสองในฐานะที่เรียกโจทก์มาเป็นพยานว่าทั้งคู่กระทำการดังที่กล่าวหาจริงหรือไม่

ข่าว/ บทความที่เกี่ยวข้อง