Highlight
- 14 ปีก่อน ท่ามกลางสถานการณ์รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กำลังทหารล้อมปราบประชาชนคนเสื้อแดง ไทยได้เคยเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ มาก่อนแล้ว แต่ทำไมไทยยังถูกเลือกให้เป็นและยังได้เป็นต่อหลังเหตุการณ์
- นานาชาติจะเลือกหรือไม่เลือกประเทศไหนเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ หรือไม่นั้น ไม่ได้พิจารณากันแค่สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศผู้สมัครเท่านั้น แต่ปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจที่อาจถูกให้น้ำหนักมากกว่า แต่มาตรฐานขั้นต่ำก็ยังต้องเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
- แม้ปัจจัยด้านปัญหาสิทธิมนุษยชนทั้งคดีการเมืองที่ยังคงค้างจากยุครัฐบาลประยุทธ์ ทั้งคดีม.112 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังติดตามคุกคามประชาชนอยู่ ไปจนถึงศาล รธน.ก็ยังตั้งท่าจะยุบพรรคก้าวไกล ยังเป็นเรื่องที่องค์กรทั้งในและนอกประเทศวิจารณ์รัฐบาลไทย แต่เหตุใดกลไกฝ่ายความมั่นคงและตุลาการที่สืบทอดแนวปฏิบัติจากยุครัฐบาลทหารกลับไม่ถูกจัดการ?
- ยังมีการบ้านที่องค์กรสิทธิในไทยและนอกประเทศจะต้องทำเพื่อให้รัฐบาลไทยต้องแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนก่อนที่จะได้เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เพราะถ้าไม่ถูกแก้เสียตั้งแต่วันนี้หลังไทยได้เป็นสมาชิกแล้วก็อาจจะไม่แก้ไข
ท่ามกลางสถานการณ์คดีทางการเมืองที่ยังคงมีเพิ่มเรื่อยๆ แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนมากนักว่าเรื่องนี้จะถูกจัดการอย่างไรเพราะดูเหมือนจะติดประเด็นเรื่องคดีม.112 ที่อย่าว่าแต่จะมีคนไม่อยากให้นิรโทษกรรม แค่ให้ประกันตัวตามสิทธิทางกฎหมายมาสู้คดีก็ยังไม่อยากให้
ประเด็นหนึ่งที่องค์กรสิทธิมนุษยชนในไทยและต่างชาติพูดกันในช่วงที่ผ่านมาแต่ไม่เป็นข่าวมากนัก คือการส่งเสียงคัดค้านต่อนานาชาติว่าอย่าโหวตเลือกให้รัฐบาลไทยได้เข้าไปเป็น “สมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ” หรือ Human Rights Council ในวาระปี 2567-2569 เนื่องจากองค์กรต่างๆ มองว่าปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศด้านต่างๆ ยังไม่ถูกแก้ไขและยังมีแนวโน้มว่าจะยังมีต่อไป(และหลายเรื่องก็ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์)
เรื่องนี้เริ่มถูกพูดถึงในเวทีพูดคุยหรือในแถลงการณ์ที่เกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่ถือเป็นช่วงท้ายๆ ในการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงว่าไทยจะสมัครเข้ารับการโหวตเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ที่ต่อไปจะเรียกแค่คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ) และสถานการณ์ล่าสุดคือรัฐบาลไทยภายใต้การนำของเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคกเพื่อไทยก็ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกในกลุ่มประเทศอาเซียนให้เป็นตัวแทนในการเข้าชิงตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ในโควต้า 13 ประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแล้ว
แต่ชื่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ นี้อาจเป็นชื่อที่หลายคนอาจไม่คุ้นหูนัก เพราะกลไกย่อยใดๆ ที่อยู่ภายใต้องค์กรระหว่างประเทศขนาดใหญ่โตมโหราฬอย่างสหประชาชาติมักจะถูกรายงานในพาดหัวข่าวไปรวมๆ กันหมดว่าเป็น “ยูเอ็น” ไม่ว่าจะบทบาทด้านความมั่นคงในข่าวสงครามระหว่างประเทศ การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความยั่งยืน(SDG) มาจนถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนในแง่มุมต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของกลไกย่อยๆ ภายในยูเอ็นที่มีภารกิจแตกต่างกันไป
ถ้าอ้างตามเอกสารที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของศาลรัฐธรรมนูญไทย คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ตามหลักการแล้วมีหน้าที่จะต้องส่งเสริมหลักการสิทธิมนุษยชนตามชื่อของมัน รวมถึงยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนหารือกันระหว่างประเทศสมาชิกยูเอ็นโดยเฉพาะในประเด็นนี้ ส่งเสริมให้ประเทศต่างๆ นำพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนจากการประชุมไปปรับใช้ในกฎหมายภายในประเทศเพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและยังมีหน้าที่ “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปจนถึงตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสิทธิมนุษยชนอย่างทันท่วงที
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าทำไมไทยจึงพยายามเข้าไปเป็นสมาชิกในกลไกของยูเอ็นที่มีชื่อห้อยท้ายด้วยคำว่า “สิทธิมนุษยชน” ที่ดูย้อนแย้งมากเมื่อเทียบกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศ แถมยังเกิดขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 2 ที่ใครๆ ก็รู้ว่าเขาคือผู้นำการรัฐประหารเมื่อปี 2557 (ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อปี 2553 เขาก็เกี่ยวข้องกับการสลายชุมนุมที่เพิ่งครบรอบ 14 ปีไปไม่กี่วัน)
ประชาไทชวน สุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาของฮิวแมนไรต์วอท์ช (Human Rights Watch หรือ HRW) ประจำประเทศไทยที่คร่ำหวอดในวงการสิทธิมนุษยชนและการเมืองระหว่างประเทศภายใต้กลไกของยูเอ็น เพื่อตอบคำถามว่าแรงจูงใจของรัฐบาลไทยในการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ คืออะไร อะไรที่ผลักดันไทยมาถึงจุดที่ได้เป็นตัวแทนอาเซียนทั้งที่ยังมีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ และหากไทยได้เป็นสมาชิกขึ้นมาจริงๆ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศจะดีขึ้นตามมาหรือไม่
รัฐบาลประยุทธ์ที่สวนทางกับ “สิทธิมนุษยชน” แต่อยากเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ
การประกาศของรัฐบาลประยุทธ์ที่ถูกวิจารณ์ว่ามาจากการรัฐประหารแล้วยังเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนคงเป็นเรื่องชวนสงสัยที่สุดว่าทำไม่ถึงอยากจะเป็นสมาชิกในกลไกด้านสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น
สุณัยมองเรื่องนี้แยกออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนบทบาทอำนาจหน้าที่ในเชิงหลักการของการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนที่สองคือการได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิกนั้นยังมีเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตาของรัฐบาลประเทศนั้นๆ ด้วย โดยเฉพาะกับประเทศที่ถูกประณามจากนานาชาติว่าขาดความเป็นประชาธิปไตย
เขาเปรียบเทียบว่าการได้รับเลือกเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ นั้นเป็นเสมือนกับตราประทับความชอบธรรมว่าประเทศนั้นกลับสู่ความเป็นปกติและเป็นที่ยอมรับของนานาชาติแล้ว แม้ว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิกไม่ได้ดีนักแล้วยังไม่ให้ความร่วมมือกับกลไกใดๆ ของยูเอ็นเลยก็ตาม แต่ก็ยังผลักดันตัวเองเข้าไปเป็นสมาชิก
นอกจากนั้นกลไกของคณะมนตรียังถูกใช้เป็นเครื่องมือในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ทั้งเพื่อใช้ปกป้องตัวเองและประเทศพันธมิตรจากการถูกวิจารณ์และในทางกลับกันก็ยังถูกใช้เพื่อวิจารณ์ประเทศคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
“ถ้าใช้กรอบวิเคราะห์นี้ของไทยก็อยู่ในส่วนของความพยายามฟื้นคืนหน้าตาของประเทศในเวทียูเอ็น” สุณัยกล่าว
ถึงถูกวิจารณ์เรื่องปัญหาสิทธิมนุษยชนก็ยังได้เป็นสมาชิก
สุณัยอธิบายถึงกระบวนการเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกที่จะให้ประเทศที่เป็นสมาชิกของยูเอ็นที่ตอนนี้มีอยู่ 192 ประเทศเข้ามาโหวตเลือกแล้วให้ใช้เสียงข้างมาก ในเชิงหลักการการโหวตเลือกจะต้องพิจารณาถึงการเคารพสิทธิมนุษยชนทั้งด้านสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมืองไปจนถึงสิทธิทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงว่าประเทศที่เข้าชิงได้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนและการให้ความร่วมมือกลไกสิทธิของยูเอ็นมากน้อยแค่ไหน
แม้หลักการจะเป็นอย่างนั้น แต่สุณัยก็บอกว่าเมื่อการโหวตมาจากเสียงข้างมากของสมาชิกยูเอ็น ทำให้ปัจจัยหลักเลยก็คือการล็อบบี้ จึงเป็นคำอธิบายที่ทำให้ประเทศที่มีสถานการณ์ด้านสิทธิไม่ได้ดีนัก แต่กลับได้คัดเลือกเข้าไปเป็นสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิฯ อยู่เป็นระยะ เช่น จีน
สุณัยชี้ว่าในกรณีของไทยมีความชัดเจนว่าได้เลือกวิธีการล็อบบี้ที่ง่ายกว่าการปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศ ตั้งแต่ตอนรัฐบาลประยุทธ์ประกาศที่จะสมัครมาจนถึงตอนที่รัฐบาลเศรษฐาไปให้คำมั่นในเวทีสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติจากมุมมองของเขาคำมั่นที่เศรษฐาพูดบนเวทีก็อ่อนมากที่พูดถึงการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนน เคารพนิติธรรมและฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อดูผลทางปฏิบัติวันนี้ก็ยังไม่เห็นการปรับปรุงด้านทั้งสามด้านนี้แม้จะผ่านมา 7 เดือนแล้ว
แม้เขาจะเห็นว่ามีการพัฒนาในด้านสิทธิด้านเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมอยู่บ้าง เช่นการใช้ประเด็นอย่างสมรสเท่าเทียม หรือเรื่องของชาติพันธุ์ที่เพิ่งเริ่มมีการผลักดันขึ้นมาบ้าง แต่สิทธิในด้านนี้ก็ยังมีเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้ทำอย่างเช่น แผนปฏิบัติการแห่งชาติเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ตอนนี้ยังเกิดกรณีบริษัทเอกชนฟ้องคดีปิดปาก(SLAPP) กับกลุ่มคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนอยู่โดยที่รัฐไม่ได้เข้ามาหยุดยั้งจนเรียกได้ว่ารัฐ “ปล่อยจอย” ให้เกิดขึ้น
“เรื่อง LGBTQ ก็สำคัญมากแต่องค์ประกอบสิทธิมนุษยชนในไทยที่มีปัญหามันมีมากกว่านั้น ถ้าเราเอามาตรวัดมาจากคำถามที่ตั้งไว้กับรัฐบาลไทยอย่างต่อเนื่องจากกลไก UPR ก็คือการตรวจสอบด้านสิทธิทางการเมืองและสิทธิพลเมืองตามวงรอบมีคำถามสำคัญๆ ที่ตั้งไว้ทุกครั้งแต่ไม่เห็นการปรับปรุงแก้ไขใดๆ เลย แต่มาสร้างภาพ (window dressing) ในเรื่องที่มันหวือหวา มันตื่นตาตื่นใจเพราะเดียวก็จะมีงานเดือนไพรด์ในช่วงกลางปีมันก็ตื่นตาตื่นใจ”
ทั้งนี้ ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ เองก็มีกลไกในการตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในแต่ละประเทศอย่างเช่น ผู้รายงานพิเศษ (Special Rapporteur) ที่มีการรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและมีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลต่างๆ อยู่ หรือกลไกการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนอย่าง Universal Periodic Review (UPR) ที่เป็นกระบวนการให้แต่ละประเทศมาตั้งคำถาม ถูกตั้งคำถาม และต้องตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศด้วย และไทยก็มักได้รับทั้งข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะจากทั้งสองกลไกนี้ต่อปัญหาเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง(ดูได้ในล้อมกรอบท้ายสัมภาษณ์)
สุณัยเห็นว่าในกระบวนการโหวตเลือกประเทศสมาชิก ประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชนของประเทศที่เข้าสมัครควรถูกนำมาพิจารณาโดยประเทศสมาชิกมากกว่านี้ แม้ว่าจะมีบางประเทศที่นำประเด็นเหล่านี้มาพิจารณาอยู่บ้างแต่ไม่ได้ให้น้ำหนักมากนักทั้งที่ควรเป็นเรื่องที่ได้รับการให้น้ำหนักมากกว่านี้เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่
รัฐบาลล้อมปราบประชาชนแต่ยังได้เป็นสมาชิก
ย้อนเวลาไปเมื่อ 14 ปีก่อน ไทยเคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2553 และเป็นเหมือนตลกร้ายเมื่อวันที่ไทยได้รับเลือกยังเกิดขึ้นหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์เพิ่งสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง 10 เมษาฯ ได้เพียงหนึ่งเดือนและกำลังเริ่มปฏิบัติการล้อมปราบที่แยกราชประสงค์ต่อ อีกทั้งยังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อการควบคุมสถานการณ์ต่อไปอีกหลายเดือน โดยที่สถานภาพการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ของไทยก็ยังคงอยู่ต่อไปด้วย
สุณัยมองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า ปัจจัยสำคัญที่ประเทศใดจะได้รับการโหวตเข้าเป็นสมาชิกคือการล็อบบี้เสียงสนับสนุนมากกว่าสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่กำลังเกิดขึ้นจริงในประเทศ อย่างกรณีรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มือเปื้อนเลือด มีหลักฐานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารใช้ความรุนแรงโดยไม่ได้สัดส่วนและไม่รับผิดการกระทำของตัวเองก็ยังได้รับการโหวตเลือกให้เป็นสมาชิกได้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เขาเห็นว่าการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นสมาชิกครั้งนั้นได้กลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานให้กับรัฐไทยได้ใจว่าทำขนาดนั้นแล้วก็ยังได้รับเลือกเป็นสมาชิก เพียงขอให้ยังเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็พอโดยอาศัยผลประโยชน์เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่ไทยมีความสำคัญ หรือผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ
เขายังเปรียบเทียบกรณีรัฐบาลประยุทธ์หนึ่งที่สอบตกไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกเพราะในเวลานั้นถือว่าเป็นรัฐบาลที่ทำรัฐประหารเข้ามาทั้งที่คู่เทียบไทยเวลานั้นคือรัฐบาลของบังกลาเทศที่มีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แต่ก็ยังเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง กับรอบรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ยังถือว่าอยู่ในเพดานรัฐบาลเลือกตั้งทั้งที่รัฐบาลจะมีส่วนในการฆ่าฟันประชาชนและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงก็ยังล็อบบี้จนเข้าเป็นสมาชิกได้
แต่เมื่อเป็นรัฐบาลประยุทธ์สองที่มาจากการเลือกตั้งแล้วจนมาถึงรัฐบาลเศรษฐาจึงกลายเป็นแต้มต่อภายใต้มาตรวัดที่ต่ำมากของการเป็นสมาชิกคือเพียงแค่เป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ทำให้รัฐบาลไทยยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นถ้าหากสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยยังไม่ดีขึ้นแล้วยังได้รับเลือกก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลได้ใจ
“เมื่อได้ในสิ่งที่อยากได้แล้วถ้างั้นจะไปแคร์อะไรก็เดินหน้าเต็มสูบในการกดดันปราบปรามต่อไปและไม่แคร์เสียงเรียกร้องการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนการตีเช็คเปล่าให้ เราจึงเสนอว่าไม่ควรให้เช็คเปล่าด้วยการกดดันอย่างเป็นรูปธรรมว่าถ้าไม่มีการปรับปรุงไม่มีการปฏิรูปก็จะไม่ได้รับการสนับสนุน แต่ถ้านานาชาติยังเดินหน้าสนับสนุนโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็ลำบากแน่สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทย” สุณัยกล่าว
ไทยมีจุดขายเป็นทางผ่านความช่วยเหลือประเทศไปพม่า แต่ใช่ว่าจะทำได้ดี
เมื่อขยับถอยออกมามองในภาพกว้างขึ้น ในแง่ภูมิรัฐศาสตร์หนึ่งในคำมั่นที่ไทยพูดเสนอตัวเป็นผู้สมัคร คือการแก้ปัญหาในภูมิภาคซึ่งก็คือสถานการณ์ในพม่า
สุณัยเห็นว่าเมื่อไทยเป็นตัวแทนของอาเซียนก็โยงตัวเองเข้าบทบาทตามที่อาเซียนมีฉันทามติ 5 ข้อยุติความรุนแรงในพม่า ไทยเลือกที่จะเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไทยเริ่มทำแล้วก็เอามาเป็นจุดขายว่าไทยทำแล้วได้รับการตอบรับจากทางการพม่าจากที่ผ่านมาพม่าไม่เคยให้ความร่วมมือเลย และถ้าเทียบกับกลุ่มอาเซียนบนภาคพื้นทวีปอย่าง ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า แล้วก็ถือว่าแย่น้อยสุดในกลุ่ม
แต่เมื่อเขาชวนกลับมามองดูประเด็นที่มีความซับซ้อนอย่างเช่น ท่าทีต่อผู้ลี้ภัยทั้งจากพม่า หรือประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เข้ามาในไทย รัฐบาลไทยก็เลี่ยงและไม่ได้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น ทั้งยังมีการจับกุมไปจนถึงส่งกลับประเทศต้นทางทั้งที่พวกเขามีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีหรืออาจจะเผชิญภยันอันตรายอย่างอื่นอีก
สุณัยอธิบายว่าในช่วงที่ผ่านมาแทบจะทุกเดือน HRW ต้องเข้าไปช่วยผู้ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านที่ถูกจับไม่ให้เจ้าหน้าที่ไทยส่งพวกเขากลับประเทศต้นทางแล้วส่งไปประเทศที่สามแทน หรืออย่างกรณีผู้ลี้ภัยสงครามไทยเองก็บอกว่าเป็นคนหลบหนีเข้าเมืองแล้วก็ผลักดันกลับประเทศทั้งที่ต้องมีการคัดกรองก่อน ไปจนถึงกรณีเด็กไร้สัญชาติ 19 คนที่เกือบโดนส่งกลับแต่ได้คนจากก้าวไกลและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเข้าไปช่วยได้ก่อนถูกส่งกลับ
เขาสะท้อนว่าเรื่องเหล่านี้ทำให้เห็นความลักลั่นของไทยที่บอกว่าได้ให้ความช่วยเหลือแล้วแต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วถึงมือคนที่ต้องการความช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหน แต่การทำให้สถานการณ์ดีขึ้นจริงๆ ไทยก็ยังไม่ได้ทำ
ปัญหาสิทธิมนุษยชนถ้าไม่ถูกแก้ก่อนไทยได้ตำแหน่งสมาชิก หลังเป็นก็จะไม่ถูกแก้
เมื่อรัฐบาลไทยดูมีความมั่นใจมากว่าจะได้เป็น แม้องค์กรสิทธิมนุษยชนอาจจะไม่พอใจกับความพยายามแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลเศรษฐานัก เพราะอยากเห็นว่าการสมัครเข้าชิงตำแหน่งสมาชิกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ จะเกิดการพัฒนามากกว่านี้
แต่สุณัยมองว่าเมื่อรัฐบาลเลือกใช้วิธีทางการทูตแบบการตลาดที่ขายภาพลักษณ์มากกว่าการปฏิบัติที่นำไปสู่สาระสำคัญจริงๆ เมื่อรัฐบาลได้เสียโอกาสที่จะแก้ปัญหาจริงๆ ตอนนี้ทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนในไทยและต่างประเทศก็ต้องพยายามรณรงค์กับประเทศที่จะโหวตให้ไทย ต้องผลักดันไทยให้ทำสิ่งที่เป็นรูปธรรมด้วย โดยเฉพาะในประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการรวมกลุ่มการสมาคม และเสรีภาพการชุมนุม ที่ยังมีคดีค้างคาอยู่เป็นจำนวนมากแล้วก็ยังมีคนถูกดำเนินคดีเพิ่มขึ้นอีก ไปจนถึงต้องตอบเรื่องอย่างการใช้มาตรา 112 หรือเรื่องที่ง่ายกว่านั้นอย่างสิทธิประกันตัว
นอกจากนั้นเขายังยกเรื่องไทยไม่ได้ให้ความร่วมมือกับกลไกของยูเอ็นด้วย ตั้งแต่สมัยรัฐบาลประยุทธ์รัฐบาลไทยจะให้คำเชิญโดยให้คำมั่นแบบเปิดกับกลไกพิเศษต่างๆ ของยูเอ็น เช่น ผู้รายงานพิเศษของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ว่า ถ้าผู้รายงานพิเศษอยากมาตรวจสอบเมื่อไหร่ก็ให้แจ้งว่าจะมา แต่พอผู้รายงานพิเศษจะขอเข้ามาจริงรัฐบาลก็ไม่ให้เข้ามา หรือเวลาองค์กรสิทธิอื่นๆ หรือยูเอ็นมีข้อกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนถึงรัฐบาลไทย รัฐบาลก็แค่ตอบว่าได้รับเรื่องแล้วแต่ไม่ตอบว่าจะทำเมื่อไหร่หรือแผนปฏิบัติการเป็นอย่างไรก็ไม่มี
สุณัยกล่าวต่อว่าทาง HRW เองได้คุยกับ 16 ประเทศและจะคุยกับประเทศอื่นเพิ่มขึ้นอีกว่า ควรเพิ่มเรื่องการยุบพรรคก้าวไกลที่ค่อนข้างแน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเป็นอีกหนึ่งมาตรวัดความเป็นประชาธิปไตยของไทยและใช้ในการตัดสินใจว่าจะโหวตให้ไทยเข้าเป็นสมาชิกหรือไม่ เพราะการยุบพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและยังกระทบต่อสิทธิด้านการร่วมกลุ่มด้วยเพราะการตั้งพรรคการเมืองก็เป็นรูปแบบหนึ่งเสรีภาพในการร่วมกลุ่ม
อีกทั้งถ้าเอาเรื่องมาตรวัดขั้นต่ำของการเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีฯ จะต้องเป็นรัฐบาลเลือกตั้งแล้ว การยุบพรรคฝ่ายค้านที่ได้คะแนนเสียงจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งจนมีเสียงในสภามากที่สุดและยังทำหน้าที่นากรตรวจสอบอย่างแข็งขันที่สุด ก็จะทำให้การเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่มีความหมายอีกต่อไป และทำให้ข้ออ้างเรื่องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหมดไปด้วย
“เราใช้คำว่า Redline เป็นเส้นที่ข้ามไม่ได้ หากข้ามเมื่อไหร่นานาชาติก็ควรจะทบทวนจุดยืนต่อการสนับสนุนการแข่งขันในตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิฯ ของไทย เพราะว่ามันจะทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของไทยหายไปเลย ถ้ามีพรรคฝ่ายค้านอยู่ในรัฐสภาแล้วก็เป็นพรรคที่มาจากการเลือกการลงคะแนนของคน 14 ล้านคน เป็นพรรคที่มาจากการแสดงเจตจำนงในการรวมกลุ่มด้วย มันถูกทำลายหลักการของสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานไปขนาดนี้คุณยังจะให้การสนับสนุนได้หรือ มันก็ไม่ควร”
อ่านความเห็นทางวิชาการของวรเจต ภาคีรัตน์ต่อกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยนโยบายแก้ม.112 ล้มล้างการปกครองได้ที่
แม้ปัญหาสิทธิมนุษยชนยังเป็นเรื่องที่ถูกใช้กดดัน แต่ทำไมรัฐบาลเศรษฐาไม่จัดการ
หากย้อนกลับมาดูสถานการณ์ในไทย ทั้งเรื่องคดีทางการเมือง หรือการติดตามคุกคามประชาชนและนักกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ 1 และ 2 ไปจนถึงกลไกศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เห็นว่าทั้งฝ่ายความมั่นคงอย่างตำรวจ กองทัพ ไปจนถึงองค์กรตุลาการยังสืบทอดวิธีการและวิธีคิดมาจากยุค คสช.นี้ กลับไม่ถูกจัดการโดยรัฐบาลเศรษฐา และสะท้อนให้เห็นจากสถิติที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรวบรวมไว้ตั้งแต่รัฐบาลเศรษฐาเข้ามาบริหาร
ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา แม้ในทางสถิติจำนวนคดีอาจไม่ได้พุ่งทะยานแบบยุครัฐบาลประยุทธ์แต่ก็ยังมีเพิ่มมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้มีคดีใหม่เพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนนี้ 39 คดี มีเหตุเจ้าหน้าที่รัฐไปติดตามคุกคามประชาชน 144 ครั้ง ยังไม่รวมถึงจำนวนผู้ต้องขังทางการเมืองที่ทยอยเพิ่มขึ้นโดยที่แนวโน้มเรื่องนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองยังคงไม่มีความชัดเจนใดๆ ว่าจะมีออกมาเมื่อไหร่หลังจากกรรมาธิการวิสามัญพิจารณานิรโทษกรรมต่ออายุเพิ่มออกมาอีก 60 วันหลังจากรอบแรกเพิ่งครบไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา
เมื่อกลไกและแนวปฏิบัติของหน่วยงานความมั่นคงและฝ่ายตุลาการจากยุค คสช.ยังเสมือนตีคู่ขนานกันไปกับรัฐบาลเศรษฐาที่มาจากการเลือกตั้งด้วย คำถามที่ตามมาคือทำไมรัฐบาลจึงไม่จัดการกับกลไกเหล่านี้ทั้งที่อาจไปกระทบต่อการเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ได้
“นิตยสารไทม์เรียกว่า “การดีลกับปิศาจ” ก็เพื่อให้ตัวเองได้เข้าสู่อำนาจ ก็ยอมรับสภาพซึ่งมันแลกมาด้วยการไม่เอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปการเมืองตามที่สัญญาไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งมันถูกถ่วงเวลาอย่างไม่มีกำหนดและทำให้ยากอย่างไม่มีความจำเป็น อย่างเรื่องที่โหวตให้ส่งกลับไปถามศาลรัฐธรรมนูญ ทำไมต้องถามอีก”
สุณัยเห็นว่าฝ่ายตุลาการได้ชี้นำกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติที่เป็นกระบวนการโดยชอบธรรมในตัวเองอยู่แล้วเพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติอยู่แล้ว หรือการวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลเพราะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ก็เป็นเรื่องของกระบวนการนิติบัญญัติแต่ศาลรัฐธรรมนูญก็เข้ามา แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรแล้วก็ยอมรับสภาพไป และการไม่ยอมรับสภาพก็อาจจะมีจุดจบแบบก้าวไกล
ส่วนกลไกระดับฝ่ายปฏิบัติการที่เป็นระดับย่อยลงมาอย่างการคุกคามกดดันประชาชนไปจนถึงคดีนโยบายต่างๆ สุณัยก็มองว่าแม้เป็นเรื่องที่รัฐบาลสามารถสั่งการในชั้นตำรวจได้ว่าการกระทำแบบไหนบ้างที่ไม่ต้องดำเนินคดี ไปจนถึงสั่งการให้พวกหน่วยข่าวกรองอย่างพวกสายสืบหรือสันติบาลว่าอย่าไปตาม แต่รัฐบาลก็ไม่สั่งการลงไป
นอกจากเหตุผลเรื่องยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ของกลไกที่ส่งทอดมาจากยุครัฐประหารแล้ว เขาเห็นว่ารัฐบาลเองยังมองคนเห็นต่างเหล่านี้เป็นภัยคุกคามด้วย เพราะคนเหล่านี้ท้าทาย “รัฐพันลึก” (Deep State) ที่เป็นโครงสร้างที่ใหญ่กว่ารัฐบาล ทำให้รัฐบาลมองว่าถ้าอะลุ่มอล่วยหรือผ่อนปรนให้กับคนที่ไปท้าทายรัฐพันลึกตัวเองก็จะถูกมองว่าเข้าข้างคนเหล่านี้ไปด้วย
สุณัยอธิบายถึงเรื่องนี้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ไม่ได้ครอบคลุมแค่การเสนอแก้ไขกฎหมายแต่ยังขยายไปถึงการกระทำที่เป็นการสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายการปกครองไปด้วย
“ทำให้พรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลที่อาจมีธงในใจอยู่แล้ว พอมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมา ก็คิดว่าเห็นมั้ยละแม้แต่ไปแสดงการสนับสนุนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น ยืนหยุดขัง ไปแปะสติกเกอร์ หรือแม้แต่การรณรงค์ไปจนถึงช่วยประกันตัวก็ถือว่าผิด จนถึงการปล่อยให้กลุ่มทะลุวัง ทะลุแก๊ส หรือกลุ่มสามนิ้วอื่นๆ ทำกิจกรรมได้ก็อาจจะถูกบอกว่าเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายไปด้วย”
สุณัยชี้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้สร้างบรรทัดฐานว่า ถ้ารัฐบาลยังอยากอยู่ในอำนาจต่อไปก็จะต้องไม่ท้าทายหรือไปเขย่าสถานภาพที่เป็นอยู่ (Status Quo) ของรัฐพันลึก จนทำให้รัฐบาลไม่ไปแตะต้องทั้งในระดับโครงสร้างใหญ่อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญและระดับการปฏิบัติรายวันของเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง
ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลไทยคงเสียหน้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าถ้าสุดท้ายแล้วถ้าไทยไม่ได้เป็นสมาชิกจะกระทบกับไทยอย่างไรบ้าง
สุณัยบอกว่ารัฐบาลไทยคง “หน้าแหก” มาก ถ้าวัตถุประสงค์ของรัฐบาลไทยที่จะเข้าไปเป็นสมาชิกคือเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตา เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็แล้ว นายกฯ ไปหาเสียงใหญ่โตบนเวทีสมัชชาใหญ่ด้วยตัวเองก็แล้ว คนจากกระทรวงการต่างประเทศยังเดินสายไปหลายที่แล้วยังไม่ได้เป็นอีก และถ้าหากคู่เทียบจาก 13 ประเทศเป็นเหมือนรอบที่ก่อนที่ไทยแพ้บังกลาเทศ แล้วรอบนี้รัฐบาลทำขนาดนี้แล้วยังสอบตกโดยที่มีคู่เทียบไม่ได้ดีกว่ากันไทยก็จะหน้าแหกมาก และตอนนี้ถ้ามองจากมุมขององค์กรสิทธิไทยก็ไม่ได้ดีพอจะรับตำแหน่งนี้
เขาเสนอว่าถ้าไทยอยากทำให้ตัวเองดีพอที่จะได้เป็นจริงๆ และทำได้ง่ายที่สุดก็คือทำเรื่องที่เศรษฐาเคยไปพูดไว้ในสมัชชาใหญ่ของสหประชาชาติในเรื่องของการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เคารพนิติธรรมและฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม
ตัวอย่างที่สุณัยเห็นว่าทำได้ง่ายและเป็นรูปธรรมคือการให้สิทธิประกันตัวอย่างเสมอหน้าไม่เลือกปฏิบัติเพราะสิทธิประกันตัวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มคดีการเมืองหรือคดีคนเห็นต่างอย่างคดีมาตรา 112 หรือมาตรา 116 ที่มีการคุมขังระหว่างรอพิจารณาคดี และเรื่องนี้ยูเอ็นเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ มีกลไกพิเศษของยูเอ็นที่ลงความเห็นว่าการคุมขังระหว่างรอพิจารณาคดีหลายกรณีในไทยเป็นการคุมขังตามอำเภอใจ (arbitrary detention) เช่น กรณีของตะวัน ทานตะวัน ตุลานนท์และแฟรงค์ ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร ก็เข้าข่าย
อย่างไรก็ตาม สุณัยเห็นว่า ถ้าไทยจะต้องการสร้างผลงานจริงๆ เพื่อเข้ารับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ก็ควรต้องทำ แต่เขาก็เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่ได้หวังจะใช้เลย แล้วอย่างเรื่องยุบบพรรคก้าวไกลก็ยังเดินหน้าต่อไปโดยไม่ถูกนำมาทบทวนและคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
กลไกที่ใช้กดดันประเทศสมาชิกเคารพสิทธิมนุษยชนมีแรงไม่พอ
ที่ผ่านมาคณะผู้รายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นกลไกหนึ่งของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ จะค่อนข้างมีบทบาทอย่างมากในการส่งความเห็นและข้อเสนอถึงรัฐบาลต่างๆ อย่างแข็งขันและชี้ปัญหาการละเมิดสิทธิของประเทศนั้นๆ อย่างตรงไปตรงมา
แต่ในเมื่อกลไกนี้เองก็ยังอยู่ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ที่รวมเอาเหล่าประเทศที่มีปัญหาสิทธิมนุษยชนมาเป็นสมาชิกเอาไว้ด้วย คำถามที่ตามมาคือเมื่อกลไกดังกล่าวมีความเห็นและออกข้อเสนอมาให้ประเทศสมาชิกต้องแก้ไขแต่ไม่ถูกแก้นี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง
สุณัยอธิบายว่าเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองของประเทศสมาชิกที่ออกแสดงความกังวลปัญหาสิทธิมนุษยชนของอีกประเทศหนึ่งนั้นเป็นประเทศที่มีอำนาจต่อรองระหว่างประเทศสูงแค่ไหน อย่างเช่นเป็นประเทศมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นระดับโลกหรือระดับภูมิภาคหรือเป็นประเทศที่เป็นทวิภาคีกับประเทศที่ถูกแสดงความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชนหรือไม่
อย่างในกรณีของไทย ถ้าเป็นประเทศที่มีผลประโยชน์กับไทยเยอะหรือกำลังมีการเจรจาการค้าเสรีกันอยู่ เช่น สหภาพยุโรป หรืออังกฤษที่เพิ่งมาลงนามความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับไทยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่าน เรื่องเหล่านี้ก็สามารถูกเอามาใช้ต่อรองกับไทยได้ ซึ่งเป็นเรื่องอำนาจเฉพาะตัวของประเทศสมาชิกในคณะมนตรี
อย่างไรก็ตาม สุณัยชี้ว่าตัวคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเองฯ กลับมีอำนาจต่อรองผ่านกลไกน้อยเมื่อเทียบกับอำนาจเฉพาะตัวของแต่ละประเทศ แล้วองค์ประกอบของประเทศสมาชิกเองก็มีปัญหาอย่างประเทศจีนที่มีปัญหาสิทธิมนุษยชนก็เข้าไปเป็น “หัวโจก” อยู่ในนั้น ทำให้ไทยก็หวังพึ่งจีนเป็นคนคุ้มหัวให้ หรือแม้กระทั่งสหรัฐฯ เองก็คอยช่วยไทยเวลาทำอะไรแย่ๆ เพราะรัฐบาลไทยก็มักจะใช้วิธีว่าสหรัฐฯ กลัวจะเสียไทยให้จีน ส่วนจีนก็กลัวเสียไทยให้สหรัฐฯ ส่วนประเทศที่อยากได้ประโยชน์ทางการค้ากับไทยก็จะไม่กดดันไทยมากนัก
“เลยกลับไปที่คำตอบที่ว่าเป็นเรื่องเทคนิกล็อบบี้ล้วนๆ ต้องยอมรับว่าไทยเขี้ยวในเรื่องทักษะการล็อบบี้มาก”
สุณัยยังเสริมด้วยว่าเป็นเรื่องที่หวังได้ยากที่การรณรงค์ขององค์กรสิทธิต่างๆ จะทำให้เกิดแรงกดดันในด้านอื่นๆ อย่างการกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนได้ แต่ก็ยังควรจะหวังให้เกิดขึ้นและผลักดันต่อไปแม้ว่าความคาดหวังนั้นจะเกิดเป็นผลจริงๆ มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะว่าที่ผ่านมายังมีประเทศอื่นที่ถูกกดดันผ่านกลไกคณะมนตรีสิทธิฯ มากกว่านี้แล้วยังไม่เห็นผลในทางปฏิบัติจนต้องไปกดดันผ่านช่องทางอื่น
เขาได้ทิ้งการบ้านถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนหรือภาคประชาสังคมของไทยว่า ต้องทำงานล็อบบี้กับประเทศที่ไปโหวตให้หนักขึ้นเพื่อสู้กับกับการล็อบบี้ของรัฐ เพราะองค์กรเหล่านี้เองก็มีศักยภาพและบางองค์กรยังเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาสิทธิมนุษยชนเสียเองด้วย
“เอาเข้าจริงความสำคัญของข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชนผ่านกลไกต่างๆ ของยูเอ็นน้ำหนักในทางปฏิบัติมันน้อยไปกว่าการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ผ่านการล็อบบี้ เพราะฉะนั้นการรณรงค์ในเรื่องที่จะกดดันให้มีการปฏิรูปสิทธิมนุษยชนในไทยมันถึงต้องทำคู่กันในส่วนของมาตรฐานยูเอ็นมันก็เป็นแบบนั้น แต่ในส่วนที่เราต้องทำงานหนักขึ้นมากๆ คือการสู้กับการล็อบบี้”
นานาชาติวิจารณ์ปัญหาการใช้มาตรา 112 ของไทยมากว่า 10 ปีแล้วและมีแต่จะแย่ลง
จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่ได้รวบรวมหนังสือที่ผู้รานงานพิเศษกลไกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ ที่ส่งถึงรัฐบาลไทยในประเด็นปัญหาการใช้มาตรา 112 ของไทย ที่เริ่มมีการส่งมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2567 นี้มีมาแล้วถึง 20 ครั้ง
ไม่เพียงเท่านั้น คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ (UN Working Group on Arbitrary Detention:; UN WGAD) ซึ่งเป็นกลไกพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนเช่นกัน ยังเคยส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยถึงเรื่องการใช้มาตรา 112 เป็นการเฉพาะด้วยว่าการคุมขังในคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 ยังถือเป็นการคุมขังตามอำเภอใจอีกด้วย โดยเริ่มกลไกนี้ได้เริ่มส่งหนังสือรัฐบาลไทยถึงเรื่องนี้มาแล้ว 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา
ทำความรู้จักกลไกด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนที่
นอกจากนั้นในอีกกลไกหนึ่งของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ อย่างทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนผ่านกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Universal Periodic Review – UPR ที่เป็นการให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ที่เป็นรัฐสมาชิกของ UN 193 ประเทศมาต้องมาตรวจสอบและมีข้อเสนอแนะ ไปจนถึงต้องชี้แจงสถานการณ์สิทธิมนุษยชนระหว่างรัฐบาลกันทุกๆ 4 ปี และไทยผ่านเวทีนี้มาแล้ว 3 รอบ
ที่ผ่านมาในเวที UPR รอบล่าสุดเมื่อพฤศจิกายน 2564 รัฐบาลประเทศต่างๆ ยังมีข้อแนะนำที่เกี่ยวกับประเด็นการใช้กฎหมายในการจำกัดเสรีภาพการแสดงออกทั้งมาตรา 112 มาตรา 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์รวมถึงการจำกัดเสรีภาพการชุมนุม บางประเทศระบุอย่างเฉพาะเจาะจงถึงมาตรา 112 เป็นการเฉพาะว่าต้องมีการแก้ไขด้วยอย่างเช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส แคนาดา นอร์เวย์
หลังผ่านเวที UPR รอบล่าสุดมาและอีกไม่กี่เดือนจะครบ 3 ปีถ้าเทียบกับฟุตบอลโลกตอนนี้ประเทศต่างๆ ก็คงต้องเตรียมทีมกันแล้ว แต่จากสถิติที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรวบรวมไว้ทั้งเรื่องจำนวนคดี ทั้งเรื่องการไปติดตามคุกคามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว คงบอกได้ว่าสถานการณ์แย่ลงกว่าตอนรัฐบาลไทยต้องไปชี้แจงรอบก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
สถิติล่าสุดจากศูนย์ทนายความฯ ที่เริ่มนับตั้งแต่การชุมนุมของขบวนการเยาวชนเมื่อปี 2563 ถึงมีนาคม 2567 มีคนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองทั้งหมด 1,954 คน นับเป็นจำนวนคดีทั้งหมด 1,293 คดีแล้ว
จำนวนผู้ต้องขังทางการเมือง
คน | |
ขังระหว่างพิจารณาคดี | 28 |
คดีสิ้นสุด | 15 |
ขังในสถานพินิจ | 2 |
รวม | 45 |
จำนวนคดีทางการเมืองแบ่งตามข้อหา
คน | คดี | |
มาตรา 112 | 270 | 301 |
มาตรา 116 | 152 | 50 |
ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ | 1,469 | 669 |
พ.ร.บ.ชุมมุนมฯ | 181 | 99 |
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ | 200 | 223 |
ละเมิดอำนาจศาล | 43 | 25 |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)