สส.กรุณพล พรรคก้าวไกล ขอที่ประชุมสภาฯ ตัดงบบูรณาการร้อยละ 5 หลังพบมีการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ทางยุทธวิธีสูงเกินจริง ไม่คุ้มค่า บางจุดมีความซ้ำซ้อน และใช้งบประมาณถึง 31 ล้านบาท

เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2567 ว่านายกรุณพล เทียนสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปราย งบประมาณบูรณาการ ตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ว่าตนมีข้อสังเกตในแบบรายการค่าครุภัณฑ์ที่ระบุรายการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ทางยุทธวิธี ซึ่งมีลักษณะแบบรถจักรยานยนต์วิบาก เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการเข้าถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวรถจักรยานยนต์ 1 คัน มีราคาอยู่ที่ 139,300 บาท แต่กลับมีการตั้งงบสำหรับตกแต่งให้เป็นสีทางการทหารตามมาตรฐาน MIL-DLT-64159 มีคุณสมบัติไม่สะท้อนแสงในเวลากลางคืนและสามารถพรางอินฟราเรดได้ โดย 1 งานต่อคัน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 36,850 บาท ตนเห็นว่ามีราคาสูงเกินไป และต้องทำถึง 118 คัน ขณะที่ถังน้ำมันต้องพ่นสารป้องกันสะเก็ดระเบิดด้วยโพลียูเรียหรือวัสดุสังเคราะห์ที่สามารถทนแรงอัดสะเก็ดระเบิดและกระสุนได้ โดย 1 งานต่อคัน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 31,850 บาท ตนตั้งข้อสังเกตว่าการพ่นเฉพาะสีตัวถังเท่านั้น เป็นการใช้งบประมาณซ้ำซ้อนหรือไม่ นอกจากนี้ ต้องมีการติดตั้งแผ่นป้องกันการกระแทกใต้เครื่องยนต์ (Crank Guard) ทำจากวัสดุอลูมิเนียมเคลือบโพลิเมอร์ และโพลียูเรีย ที่ระบุว่าสามารถทนแรงอัดสะเก็ดระเบิดและกระสุนได้ 1 งานต่อคัน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 15,000 บาท ตนตั้งข้อสังเกตว่าสามารถใช้งานได้จริงหรือไม่

นายกรุณพล กล่าวเพิ่มเติมว่า มีรายการติดตั้งแผ่นป้องกันมือ (Hand Guard) ที่ระบุว่าเพื่อป้องกันนิ้วมือจากอุบัติเหตุ 1 งานต่อคัน มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5,000 บาท ซึ่งแพงกว่าอุปกรณ์ของรถจักรยานยนต์ทั่วไปหลายเท่า รวมทั้งการติดตั้งตะแกรงเหล็กป้องกันไฟหน้าและไฟท้าย 1 งานต่อคัน มีราคาอยู่ที่ 9,000 บาท ซึ่งมีราคาแพงกว่าราคาหลอดไฟจากโณงงาน ขณะที่ อุปกรณ์เสริมที่พักเท้า 1 งานต่อคันมีราคาอยู่ที่ 6,000 บาท ติดตั้งสวิตซ์ไฟ เปิด-ปิด ระบบไฟส่องสว่างรถ 1 งานต่อคัน 1,000 บาท ติดตั้งขาตั้งรถเสริมโครงเหล็ก 1 งานต่อคัน 2,500 บาท ซึ่งมีราคาแพงกว่าปกติ ที่สำคัญ มีการติดตั้งแท่นวางอาวุธประจำกายหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่มีราคาสูงเกินความเป็นจริง 1 งานต่อคัน 10,000 บาท สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่คุ้มค่า และยังต้องใช้งบประมาณสูงถึง 31 ล้านบาท ตนจึงขอให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาปรับลดงบประมาณดังกล่าวร้อยละ 5 ด้วย