Skip to main content
sharethis

ป.ป.ช. เตรียมสอบปม 'เศรษฐา' ฝากตำรวจ เผยหากผิดคาดโทษพ้นตำแหน่ง - 'รังสิมันต์ โรม' ยกกระดุม 5 เม็ด ปฏิรูปตำรวจ-กำจัดระบบตั๋ว หวังได้เห็นเจตจำนงของรัฐบาล แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง


เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (แฟ้มภาพ)

24 พ.ย. 2566 Voice online รายงานว่าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภูเทพ ทวีโชติธนากุล รองโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เข้ายื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ในการใช้อำนาจของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในกรณีการฝากตำแหน่งผู้กำกับ

ภูเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏตามสื่อว่า เข้าเงื่อนไขความผิดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ และทาง ป.ป.ช. มีกรอบเวลาดำเนินการอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สาธารณะให้ความสนใจ ก็จะจัดลำดับขึ้นมาดำเนินการ

ส่วนคลิปข่าวที่นายกฯ พูดในที่ประชุม สส.เพื่อไทย สามารถนำมาประกอบการพิจารณาได้หรือไม่นั้น ภูเทพ กล่าวว่า ต้องรวบรวม ทั้งที่ปรากฎตามสื่อ ผู้หวังดีส่งให้ หรือ ข้อมูลที่ ศรีสุวรรณ ส่งมาให้วันนี้ ก็จะนำมาประกอบทั้งหมด แต่ก็อยู่ภายใต้การดำเนินการของ ป.ป.ช. และเราก็สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้

สำหรับบทลงโทษสูงสุดกรณี สส.หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปก้าวก่ายการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ภูเทพ กล่าวว่ามี 2 ส่วน ถ้าเป็นเรื่องฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมร้ายแรงก็จะเป็นการพ้นจากตำแหน่ง และถูกตัดสิทธิ์ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการแทรกแซงข้าราชการฝ่ายประจำที่มีการแต่งตั้งก็ถือว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการก็ต้องดูว่าเข้าเงื่อนไขใด

ในส่วนของพยานหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ความผิดได้ ภูเทพ กล่าวย้ำว่า เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ต้องดำเนินการ ว่าเรื่องที่ปรากฏออกมาตามสื่อมีที่มาที่ไปอย่างไร และต้องสอบสวนย้อนไป รวมถึงขอข้อมูลไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในเรื่องการแต่งตั้งระดับผู้กำกับก็ได้ ต้องหาข้อเท็จจริงทั้งหมด 360 องศา ไม่ได้รับฟังแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ส่วน ป.ป.ช. จะมีความรู้สึกกดดันหรือหนักใจหรือไม่เนื่องจากต้องสอบบุคคลสำคัญซึ่งเป็นถึงนายกฯ ภูเทพ กล่าวว่า มันเป็นงานประจำของ ป.ป.ช.อยู่แล้วทำมาตั้งแต่ปี 2542 ตรวจสอบนายกฯ มาตั้งหลายคน รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ ก็เป็นงานปกติของ ป.ป.ช.

“โรม” ยกกระดุม 5 เม็ด ปฏิรูปตำรวจ-กำจัดระบบตั๋ว หวังได้เห็นเจตจำนงของรัฐบาล แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ด้านทีมสื่อพรรคก้าวไกลแจ้งข่าวว่า รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลง Policy Watch หัวข้อ “หยุดระบบตั๋วและปฏิรูปตำรวจไทย” ว่าปัญหาตั๋วในวงการตำรวจ เป็นเรื่องที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน เป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกลติดตามอย่างใกล้ชิด จนถึงวันนี้พรรคยืนยันว่าองค์กรตำรวจเป็นองค์กรที่ต้องได้รับการแก้ปัญหาอย่างจริงใจจากรัฐบาล เพราะปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถปฎิบัติงานได้อย่างเต็มความสามารถ ตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้มีอิทธิพล ไม่ต้องสร้างคอนเนคชั่นทางการเมืองเพื่อหวังได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ต้องหาเงินจากส่วยและธุรกิจสีเทามาเลี้ยงดูครอบครัว วันนี้ต้องมีการปฏิรูปองค์กรตำรวจ เพราะหากไม่ลงมือทำอะไร ประเทศของเราจะไม่สามารถหลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆ ที่อยู่มานานกว่าชั่วอายุคนได้

สำหรับปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ที่กระทบต่อองค์กรตำรวจในหลายมิติ คือเรื่องระบบตั๋ว ที่ตนเคยอภิปรายมาแล้วหลายครั้ง เช่น ตั๋วช้าง ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ามีการขอรับการสนับสนุนจากผู้ที่ไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายไปยัง ผบ.ตร. หรือการทุจริตในกองบินตำรวจ ที่จนถึงวันนี้ ตนยังรอคอยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่าเมื่อไรจะสะสาง หรือปัญหาอย่างหลักสูตร กอส. ที่เปิดช่องให้มีการเติบโตในวงการตำรวจอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้คนที่มีความเกี่ยวข้องกับการก่ออาชญากรรมอย่างเว็บพนันและคอลเซนเตอร์ สามารถใช้เส้นสายเข้ามาในหลักสูตรนี้

นอกจากนั้น ยังมีการสั่งโยกย้ายตำรวจน้ำดีที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมา ไปยังพื้นที่ห่างไกลหรือพื้นที่ที่ไม่รู้จัก เช่น พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ในขณะที่กำลังจัดการขบวนการค้ามนุษย์ที่พบว่ามีทหารชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้อง ก็ถูกสั่งย้ายไปในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ หรือกรณีตำรวจที่ขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับ สว.อ. ที่สุดท้ายถูกสั่งย้ายทั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย หรือกรณีตำรวจราบ ที่มีการให้โยกย้ายไปนอกหน่วยงานในสังกัด สตช. หากใครไม่ยอมย้าย จะถูกสั่งธำรงวินัยเป็นเวลากว่า 9 เดือน ทำให้มีตำรวจจำนวนไม่น้อยต้องลาออก ยังไม่นับเรื่องการรีดไถ่ส่วยสินบน คดีเป้รักผู้การ หรือการทำร้ายซ้อมทรมานที่ทำโดยตำรวจ

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกัน ในเวลานั้นเรายืนยันสิ่งเดียวกันว่าต่อต้านระบบอุปถัมภ์ เศรษฐา ทวีสิน เคยประกาศบนเวทีหาเสียงว่าระบบเส้นสายต้องถูกจัดการออกไป แต่กลายเป็นว่าวันนี้ เราเห็นคำพูดที่พูดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน พูดอย่างเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ ผ่านการฝากผู้กำกับในที่ประชุม สส. ของพรรคเพื่อไทย นี่คือเรื่องใหญ่ที่แสดงให้เห็นว่าระบบอุปถัมภ์ในองค์กรตำรวจไม่ได้หมดไป

“ท่านต้องรับผิดชอบคำพูด แทนที่จะแก้ปัญหาระบบเส้นสายตามที่หาเสียง กลับใช้โครงสร้างรากแก้วที่มีมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว เป็นประโยชน์กับเครือข่ายของอำนาจท่านเองใช่หรือไม่ หากนายกฯ ไม่สามารถชี้แจงเรื่องเหล่านี้ได้ สุดท้ายคำตอบที่ประชาชนได้ยิน ก็ไม่ต่างอะไรกับคำตอบที่ได้รับตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้เห็นว่าองค์กรตำรวจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้จริงในรัฐบาลเศรษฐา” รังสิมันต์กล่าว

รังสิมันต์กล่าวต่อว่า ตนคงไม่หวังกับรัฐบาลนี้แล้วในการแก้ไขปัญหาตำรวจ เพราะถ้ารัฐบาลอยากแก้ปัญหา สิ่งแรกที่ต้องมีคือเจตจำนง วันนี้ตนขอเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยกระดุม 5 เม็ด ผ่านการรับฟังเสียงเรียกร้องของประชาชน เพื่ออย่างน้อยเป็นบทสรุปของสังคม พิจารณาดูว่ากระดุมเม็ดใดที่ทำได้บ้างและส่งต่อข้อเสนอนี้ไปยังองค์กรที่มีอำนาจอื่นๆ เพื่อไปสู่การปฏิรูปตำรวจให้สำเร็จ

กระดุมเม็ดแรก ทำให้การเลือก ผบ.ตร. อิงจากความสามารถ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ขององค์กรตำรวจ และประชาชน โดยวิธีการเลือก 3 ขั้นตอน สามารถทำได้เลย ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับปัจจุบัน

ขั้นตอนที่ 1 ต้องเปิดให้ รอง ผบ.ตร. ที่ต้องการเป็น ผบ.ตร. สมัครเข้ามาพร้อมแฟ้มผลงาน เพื่อให้กรรมการที่กลั่นกรองใช้ดุลยพินิจและให้ความเห็นได้ว่าคนนี้มีผลงาน มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำของตำรวจ

ขั้นตอนที่ 2 ต้องเปิดให้รอง ผบ.ตร. ที่สมัครเข้ามาเป็น ผบ.ตร. ได้แสดงวิสัยทัศน์ ว่าจะนำพาองค์กรตำรวจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

ขั้นตอนที่ 3 สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ตำรวจเข้ามาใช้บริการเพื่อโหวตเลือก ผบ.ตร. ไม่ต้องถึงขนาดให้การโหวตเป็นตัวชี้วัด แต่อย่างน้อยเป็นเสียงที่สะท้อนต่อนายกฯ เพื่อมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

กระดุมเม็ดที่สอง ต้องแก้ไข พ.ร.บ.ตำรวจ กระจายอำนาจให้จังหวัดและประชาชนภายในจังหวัดเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่มีตำรวจประวัติไม่ดี ถูกย้ายไปที่นั่นที่นี่ ราวกับว่าจังหวัดนั้นเป็นกระโถน พวกเขาสามารถปฏิเสธได้ คนในพื้นที่จะรู้ว่าคนที่ย้ายมามีคุณภาพหรือไม่ นอกจากนี้ ประชาชนจะมีโอกาสกำหนดทิศทางการแก้ไขปราบปรามอาชญากรรม เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาอาชญากรรมต่างกัน

กระดุมเม็ดที่สาม นายกฯ ต้องอย่าทำให้ตำรวจหิว อย่าทำให้ตำรวจต้องไปหาเงินเองเพื่อความอิ่มท้อง และความสุขสบายของครอบครัว จากการศึกษาในต่างประเทศ ถ้าต้องการแก้ปัญหาให้ตำรวจไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน เราต้องทำให้ตำรวจระดับล่างที่มีเงินเดือนน้อย ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขั้นต่ำที่สุดคือทำให้มีอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ ก่อนหน้านี้ตนเคยคำนวณว่าอย่างน้อยที่สุด การทำให้ตำรวจระดับล่างพออยู่ได้ ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อการทำงาน ควรเติมเงินเข้าไปประมาณ 4 พันล้านบาท โดยรัฐบาลต้องตัดงบประมาณส่วนอื่นที่ไม่จำเป็นออกไป

กระดุมเม็ดที่สี่ รัฐบาลควรส่งเสริมให้ตำรวจชั้นประทวนมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เช่น ส่งเสริมตำรวจชั้นประทวนที่ยังไม่จบปริญญาตรี ให้เข้าถึงการศึกษาชั้นปริญญาตรี ตำรวจที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปแล้ว ควรส่งเสริมให้มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้นในอนาคต เพราะปัญหาที่เรากำลังเจอตอนนี้ คือการรับบุคคลภายนอกที่บอกว่าเป็นกลุ่มคุณวุฒิที่ขาดแคลน แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่ท่านขาดแคลนคือนามสกุลดัง ไม่ได้มีความพิเศษอะไร หากดำเนินการตามข้อเสนอของตน องค์กรตำรวจจะได้คนที่รู้ระบบงานอยู่แล้ว ไม่ต้องฝึกงานใหม่ ทำแบบนี้ตำรวจระดับล่างถึงจะมีความหวังในอาชีพการงาน

กระดุมเม็ดที่ห้า รัฐบาลต้องเลิกให้ตำรวจทำในสิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผู้บังคับบัญชาคราวละจำนวนมากๆ ซึ่งไม่รู้ทำไปทำไม รวมถึงโครงการที่ไม่จำเป็นทั้งหลายที่งานตำรวจต้องไปรับผิดชอบ เช่น โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ซึ่งในส่วนนี้ หลังจากมีการเรียกร้องมาอย่างยาวนาน เช่น การบังคับขาวสามด้าน ที่ไม่ได้ทำให้องค์กรตำรวจได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายสามารถยกเลิกได้

รังสิมันต์กล่าวว่า การดำเนินการตามกระดุมทั้งห้าเม็ดนั้น ต้องใช้เวลา อาจไม่สามารถทำให้จบภายใน 1-2 ปี แต่ถ้าเราไม่เริ่มลงมืออะไรเลย ตำรวจก็จะเป็นแบบนี้ ปัญหาขององค์กรตำรวจไม่ใช่แค่ปัญหาของตำรวจ 200,000 คนหรือปัญหาของครอบครัวตำรวจ แต่เป็นปัญหาของพวกเราทั้งหมด จึงขอเรียกร้องถึงผู้ที่มีอำนาจบทบาท สามารถนำข้อเสนอเหล่านี้ไปเป็นแนวทางใช้ต่อได้ และที่สำคัญ เราอยากเห็นเจตจำนงของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา ทำให้องค์กรตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง อย่าปล่อยให้เป็นเหมือนที่ผ่านมาอีกเลย

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net